วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์ ) ๓


กาพย์สุรางคณางค์ ๒๘

๐ พระเถรผู้ยง      ฟังอานิสงส์          อิ่มเอมอิ่มใจ
จึงถามปริศนา      อันอื่นสืบไป         พระเถรมาลัย         จึงกล่าววาจา ฯ
๐ ดูก่อนเทเวศร์   ท่านกล่าวพิเศษ   ไพเราะนักหนา
ขอเชิญท่านแจ้ง  แถลงบุญญา         แห่งนางที่มา         เบื้องซ้ายตระการ ฯ
๐ ดูก่อนอินทรา   นางสวรรค์อันมา    เบื่องซ้ายศรีอารย์
มีรัศมีแดง            แสงใสชัชวาล       เสื่้อสร้อยอลังการ  คือชาติหรคุณ ฯ
๐ ทำสิ่งใดบ้าง    เมื่อก่อนได้สร้าง    สิ่งใดเป็นบุญ
จึงมีรูปโฉม         โนมพรรณสมบรูณ์  ผ้าผ่อนเพ่ิ่มพูล     อาภรณ์ย่อมแดง  ฯ
๐ มีทองต้นแขน  นิ้วมือใส่่แหวน        มีพรรณเป็นแสง
มีสร้อยคอเพชร   วิเศษเครื่องแดง     รัศมีกล้าแข็ง       ทำบุญชื่อใด ฯ
๐ เมื่อนั้นอมรินทร์ จะบอกกระบิล       ระบอบสืบไป
นางฟ้าอันมา         เบื้องซ้ายเมตไตรย บุญนางสร้างไว้  จึงได้พูดมา ฯ
๐ อินทราเสด็จอยู่ ในท่ามกลางหมู่    แห่งเทพเทวา
บอกบุญสมภาร     นงคราญทำมา      แก่พระมาลัย         มิได้พลาดพลั้ง ฯ
๐ ข้าแต่พระเจ้า    มาลัยผ่านเกล้า     พระเจ้าจงฟัง        
ข้าจะสำแดง         บุญแต่ปางหลัง     ให้พระเจ้าฟัง        บุญแห่งนงคราญ ฯ
๐ นางนาฎทั้งหลาย อันมาเรียงราย    เบื้องซ้ายศรีอารย์
เมื่อก่อนนางเกิด   ในโลกสงสาร        ได้สร้างสมภาร    เป็นนิตย์ทุกวัน ฯ
๐ วันพระอุโบสถ   นางตั้งกำหนด       อุตส่าห์ฟังธรรม์
นางได้ถวายแป้ง  แต่งเครื่องจังหัน    เป็นนิตย์ทุกวัน    แก่ภิกษุสงฆ์ ฯ
๐ ทำบุญปรากฎ    ครั้นสิ้นกำหนด     บุญนั้นตามส่ง
มาได้ประสบ         พบพระชินวงศ์     พระผู้ยิ่งยง          องค์พระศรีอารย์ ฯ
๐ บุญนางจีงแต่ง  เครื่องประดับแห่ง ล้วนแดงตระการ
มาได้สมบัติ          ย่อมชัชวาล          ได้ทิพย์วิมาน      ย่อมล้วนแดงฉาน ฯ  ฉัน ฯ


วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์) (๒)




ภาคพระศรีอารย์



กาพย์ร่ายไม้ ๑๒
๐ พระเถรได้ฟัง           คำท้าวอินทรา
   สรรเสริญนักหนา      อิ่มเอมน้ำใจ
   จึงถามถึงคุณ           บุญอื่นสืบไป
   ให้สร้างสงสัย           พระเถรด้วยดี ฯ

๐ นางมาเบื้องขวา      แห่งพระไมตรี
    อร่ามเรืองศรี           รัศมีเรืองรอง
    ผุ้านุ่งผ้าห่ม            อาภรณ์ย่อมทอง
    ทั่วตัวเรืองรอง        ทั่วทุกสาวศรี ฯ

๐ อันนางมาซ้าย       แห่งพระไมตรี
    อาภรณ์รัศมี          พรรณเหลืองอดุลย์
    มีรูปอันดี              ทรงโฉมสมบุญ 
    เหลืองคือไพทรูย์ ทำบุญสิ่งใด ฯ
๐ ข้าพระจะแจ้ง       แถลงให้เต็มใจ
    ขอพระมาลัย        จำไว้เป็นผล
    ขอจงพระเจ้า        บอกเล่าฝูงชน
    ให้ทำกุศล            ดูเยี่ยงเถิดหนา ฯ

๐ จะได้พบพระ         ไมตรีมิช้า
    เมื่อท่านเทศนา    จะลุบัดใจ
    ข้าแต่พระเถร        ผู้ชื่อมาลัย
    ข้าพระจะไข         บอกบุญสมภาร ฯ

๐ แห่งนางทั้งหลาย อันสร้างมานาน
    พระตั้งใจบาน       ชื่นชมฟังเอา
    นางทั้งหลายนี้      เมื่อก่อนน้ันเขา
    เกิดเป็นนงเยาว์    ในโลกแดนดิน ฯ

๐ วันพระน้อยใหญ่    นางได้จำศีล
    ใส่ข้าวบาตรบิณฑ์ จังหันทุกวัน
    แต่งอาหารไว้        ให้พระสงฆ์ฉัน
    ผ้าเหลืองมีพรรณ  นางให้ทั้งมวลฯ

๐ ธูปเทียนเครื่องไล้  มาลัยหอมหวล
    ข้าวดอกครบถ้วน  ย่อมล้วนพรรณเหลือง
    ครั้นได้เกิดมา       รัศมีรุ่งเรือง
    สารพัดสีเหลือง    คือแก้วไพทรูย์ ฯ

๐ นางมาเบื้องขวา  ดูงามสมบรูณ์
    สมบัติอดุลย์       อเนกคณนา
    เดชะอันให้         ดอกไม้เครื่องทา
    ได้สร้อยภูษา     กับทั้งเทริดทอง ฯ

๐ ได้เครื่องประดับ รุุ่งเรืองเนืองนอง
    ได้วิมานทอง      เลิศล้นคณนา
     นางตามเสด็จ    มาฝ่ายเบื่้องขวา
    แห่งพระราชา     เจ้าฟ้าเมตไตรย์ ฯ บังอร ฯ

* คำว่า บังอร เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน 

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์)



                                      ภาคพระศรีอารย์

กาพย์ยานี ๑๑

๐ เมื่อนั้นพระศรีอารย์        มีนงคราญงามไสว
แสนโกฎิสี่อสงไขย            แห่ห้อมล้อมพร้อมกันมา ฯ
๐ ฝ่ายหลังได้แสนโกฎิ      ฝ่ายหลังโสดดุจเดียวนา
นางน้้นงามโสภา               ทั้งไตรภพมิปูนปาน ฯ
๐ เบื้องขวาสร้อยสมโภช   นางแสนโกฎิเป็นบริวาร
เบื้องซ้ายพระศรีอารย์       ได้แสนโกฎิล้วนางสวรรค์ ฯ
๐ พระศรีอารย์ไมตรี           เสด็จท่ามกลางดั่งพระจันทร์
บริวารย่อมสาวสวรรค์        ประดุจดาวล้อมจันทร ฯ
๐ เบื้องหลังพระศรีอารย์    แสนโกฎิลานเทพอัปสร
รัศมีเครื่องอลังกรณ์          งามบวรรุ่งเรื่องฉาน ฯ
๐ ทั่งสี่ทิศนั้นเล่าโสด       เรืองฉายโชติชัชวาล
รัศมีสร้อยอลังการ            ยิ่งพระจันทร์วันเพ็ญศรี ฯ
๐ พระมาลัยเจ้าแลเห็น    พระศรีอารยะไมตรี
จึงถามท้าวโกสีย์             ด้วยคำเพราะอ่อนเอาใจ ฯ
๐ ท่านน้ันพ้นประมาณ     พระศรีอารย์ฤาว่าใคร
พระอินทร์จึงขานไข        ว่านั่นแหละพระศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรเห็นเทวา          มาก่อนหน้ายิ่งตระการ
ครั้นเห็นพระศรีอารย์        ยิ่งขึ้นไปได้แสนทวี ฯ
๐ ทวยเทพน้ันก็ถอยถด   ลดลดลงทุกทุกที
เพราะเห็นพระไมตรี         ผู้ประเสริฐเลิศภพไตร ฯ
๐ คุรุวนาดุจผู้หนึ่ง            เห็นหิ่งห้อยว่าเรืองใส
คร้ันเห็นพระจันทร์ไซร้     หิ่งห้อยนั้นก็อับสูญ ฯ
๐  อันหนึ่งอุปมา               เห็นเทวาว่าสมบรูณ์
คร้ันเห็นพุทธางกูร           เทพหมู่น้ันก็หมองศรี ฯ
๐ พระเถรเห็นนางฟ้า       มาก่อนหน้าพระไมตรี
จึงถามท้าวโกสีย์             เพื่อจะรู้จักอาการ ฯ
๐ สาวสวรรค์ล้วนนางฟ้า มาก่อนหน้าพระศรีอารย์
ทำบุญสร้างสมภาร          ผลชื่อใดในเมืองคน ฯ
๐ พระอินทร์จึงเล่าขาน   ถึงนงคราญสร้างกุศล
ให้รู้แจ้งแห่งเหตุผล        นางทั้งหลายได้ทำมา ฯ

กาพย์เอกบท ๑๒

๐ นางอันมา      ก่อนเบื้องหน้า      ก่อนเจ้าฟ้า          พระไมตรี  ฯ
๐ มีรัศมี            เป็นขาวล้วน         อาภรณ์ถ้วน         ล้วนพรรณขาว ฯ
๐ งามโฉมเฉิด  สาวขาวสด          งามหมดจด         ใครจักปาน ฯ
๐ ได้ทำบุญ      สิ่งใดบ้าง             แต่ก่อนสร้าง        กุศลใด ฯ
๐ จึงเกิดมา      ในเมืองฟ้า           มีพรรณนา             ขาวนิรมล ฯ
๐ ทั้งลำตน       สองแขนอ่อน      ทรงอาภรณ์           ภักตร์พึงชม ฯ
๐ รุูปอุดม          สมทุกสิ่ง             เห็นงามยิ่ง            เนื้อพรรณขาว ฯ
๐ น่าชื่นชม       ชาวมาหน้า          ก่อนผ่านฟ้า          พระศรีอารย์ ฯ
๐ แก้วประพาฬ มาเทียมเทียบ     เอามาเปรียบ         มิเหมือนกัน ฯ
๐ รัศมีจันทร์     ได้แสนโกฎิ          ดั่งนั้นโสด            มิปูนปาน ฯ
๐ ได้ทำทาน     ใดแต่ก่อน           เนื้อขาวอ่อน         ดั่งสำลี ฯ
๐ เราขอถาม     ท้าวตรีเนตร        จงแจ้งเหตุ            แห่งสมภาร ฯ
๐ เมื่อสมเด็จ     ท้าวตรีเนตร        จะบอกเหตุ           แห่งนงคราญ ฯ
๐ สำแดงการ     แลบอกเล่า         แก่พระเจ้า            ชื่อมาลัย ฯ
๐ จึงบอกไป      มิทันนาน            ซึ่งผลทาน            แห่งนางฟ้า ฯ
๐ ไหว้วันทา      ขึ้นเหนือเกศ       สำแดงเหตุ           แห่งกุศล ฯ
๐ นางทั้งหลาย เมื่อก่อนเกิด        เอากำเนิด           ในเมืองคน ฯ
๐ ทำกุศล          จำศีลสร้าง          ให้ทานบ้าง          ภาวนา ฯ
๐ น้ำมันหอม      อันอาบอบ          หมอตระหลบ       ทั้วทิศา ฯ
๐ ให้อาหาร        อันเอมโอช         มธุรส                   อันเจือจาน ฯ
๐ เครื่องตระการ งามทุกสิ่ง          เห็นงามยิ่ง           ขาวทุกพรรณ ฯ
๐ ให้อาหาร        อันขาวสด          ทั้งข้าวโพด         ขาวครามครัน ฯ
๐ ให้ผ้าดี            มีพรรณเลิศ       ขาวประเสริฐ        ดั่งสีสังข์ ฯ
๐ ให้ทั้งดวง       พวงดอกไม้        เครื่องลูบไล้        ย่อมล้วนขาว ฯ
๐ สารพัดขาว     แลขาวอ่อน        ให้ฟูกหมอน        ขาวสดใส ฯ
๐ ทั้งน้ำใจ          ก็พรายแพรว      ขาวดั่งแก้ว          แก้วประพาฬ ฯ
๐ ศรัทธาทาน    ใจระรื่น               หน้าแช่มชื่น        ชมยินดี ฯ
๐ แก่พระศรี        สัพพัญญู           สมเด็จผู้              หน่อพุทธองค์ ฯ
๐ ผู้ทรงธรรม      อันยิ่งยวด          ผู้ทรงผนวช         บวชเป็นสงฆ์ ฯ
๐ต้ังใจปลง        จะขอพบ             ขอประสบ           พระศรีอารย์ ฯ
๐ จำเริญทาน     จำศีลเรียน          ศรัทธาเพียร       ดั้งภาวนา ฯ
๐ สิ้นชาติมา       อยู่เมืองฟ้า         อยู่เบื้องหน้า      พระศรีอารย์  ฯ
๐ รูปนงคราญ     หน้าแน่งน้อย     ขาวแช่มช้อย      หน้านวลศรี ฯ
๐ มีรัศมี              ขาวขาวสด         งามหมดจด        ทั้วสารพางค์ ฯ
๐ หน้าสำอาง     ขาวขาวแจ่ม       เจรจาแย้ม          ยิ้มพรายพราย ฯ
๐ เดชะถวาย      ซึ่งข้าวโพด         รูปโฉมโสด        หน้าสะคราญ ฯ
๐ เดขะให้          ทานดอกไม้        จึงมาได้             รัศมีขาว ฯ
๐ เดชะบุญ         ชาวเจ้าแม่          ให้แป้งแผ่          ลูบไล้ทา ฯ
๐ ครั้นมาเกิด      ในดุสิต                ขาวพิจิตร         งามสะคราญ ฯ
๐ เดชะให้ทาน    ซึ่งฟูกหมอน       ขาวเนื้ออ่อน     ดั่งสำลี ฯ
๐ ให้ผ้าดี            เนื้อละเอียด        เส้นละเมียด      เนื้อละไม ฯ
๐ เกิดมาใน         แห่งเมืองฟ้า       ได้เสื้อผ้า          แลอาภรณ์ ฯ
๐ กำไลกร          ใส่เข็มขัด             สะอิ้งรัด            สะเอวกลม ฯ
๐ มีมงกุฎ            ประดับเกศ          สร้อยคอเพชร    รจนา ฯ
๐ ห้อมล้อมมา     อยู่ฝ่ายหน้า         ก่อนเจ้าฟ้า        พระศรีอารย์ ฯ
๐ งามประเสริฐ    โพธิสัตว์             ผู้จะตรัส             เป็นพุทธองค์ ฯ
๐ อานิสงส์           ชาวเจ้าแม่          ได้สร้างแล้        แตเมืองคน ฯ
๐ ทำกุศล             ล้นอเนก             อดิเรก              ด้วยอาหาร ฯ
๐ บอกกุศล           ผลดั่งนี้              ชี้ให้พระ            มาลัยฟัง ฯ
๐ ผลบุญนาง        ได้สร้างแล้ว       ได้วิมานแก้ว      ล้วนพรรณขาว ฯ ฉัน ฯ

*ฉัน  เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปึ่พาทย์เมื่อสวดจบ    


วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๔)


กาพย์ร่ายไม้  ๓๒

๐ ยังมีเทพหนึ่ง        บริวารถึงแสน
แต่ล้วนนางแมน       ห้อมล้อมกันมา
พระเถรเล็งเห็น        จึงถามอินทรา
พระไมตรีมา             โน่นหรือฉันใด ฯ
๐ เมื่อน้ันพระอินทร์  จึ่งขานตอบไป
เทพบุตรนี้ไซร้          ใช่พระศรีอารย์
เทพนี้ปรากฎ            ด้วยยศบริวาร
ได้สร้างสมภาร         ทำบุญสิ่งใด  ฯ
๐ บริวารห้อมล้อม    สะพรึบพร้อมมาไสว
ทำบุญชื่อใด            เมื่ออยู่เป็นคน
มาไหว้พระเจดีย์      เป็นสุขสถาผล
เมื่ออยู่เป็นคน          ทำกุศลชื่อใด ฯ
๐ เทพนี้เมื่อก่อน     เป็นเทพเข็ญใจ
อยู่ในเมืองใหญ่      อนุราชบุรี
ชายนั้นรักษา          ศีลห้าด้วยดี
ปัญญาก็มี               น้ำใจกุศล ฯ
๐ เกี่ยวหญ้ามาขาย ตามเข็ญใจตน
โดยชอบกุศล          ตามโลกวิสัย
ชายนั้นเดินตาม      ริมแม่น้ำไป
เห็นทรายผ่องใส    ดั่งเงินโสภา ฯ
๐ ชายน้ันเห็นทราย  จึงเกิดศรัทธา
ประมวลเข้ามา          ก่อพระเจดีย์
ชายน้ันกราบกราน    ยกกรชุลี
ชื่นชมยินดี                จึ่งกล่าวคาถา ฯ  เชิด ฯ

กาพย์ยานี ๑๑

๐ พระสถูปเจดีย์ทราย    งามพรรณรายเห็นสมบรูณ์
ดุจดั่งแก้วไพทรูย์           รัศมีเลื่อมเลื่อมเรืองพราย ฯ
๐ รุ่งเรืองคือกองไฟ        งามแสงใสด้วยแสงทราย
เฉิดฉันงามพรรณราย      ดูพิจิตรงามโสภา ฯ
๐ เร่งยินดียอกรไหว้        เพราะตนได้แต่งรจนา
น้อมตัวอ่อนลงมา           ร้องออกปากสรรเสริญชม ฯ
๐ น้ำจิตก็โอนอ่อน          ประนมกรขึ้นบังคม
เก็บดอกไม้มาผสม         เรียงเรียบไว้ถวายบูชา ฯ
๐ เลี้ยงดูบำเรอสงฆ์       ให้สบงจีวรมา
ฉลองทานเป็นนาวา       จะขี่ข้ามพ้นสงสาร ฯ
๐ บุญก่อเจดีย์ทราย       ได้นางฟ้าเป็นบริวาร
แสนหนึ่งล้วนสะคราญ    เป็นบริวารหน้านวลศรี ฯ
๐ เทพนั้นเสด็จเข้ามา     ถวายวันทาพระเจดีย์
กราบกรานอัญชุลี           ประนมกรด้วยบรรจง ฯ
๐ ทักษิณทั้งแปดทิศ      ไหว้พระแล้วนั่งลง
ในสถานที่จำนง              อันเคยนั่งนั้นถัดไป ฯ ฉัน ฯ

* ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน

                    จบภาคสวรรค์         
  

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๓)


กาพย์หยาดฝน  ๑๔

๐ เทพผู้หนึ่งเสด็จลินลา          ยาตรามาแน่นเนืองครืน
มีนางสวรรค์ได้เก้าหมื่น           สะพรึบพร้อมล้อมมาไสว ฯ
๐ ตามเทียนทองกรองดอกไม้ ก้มกราบไหว้แล้ววันทา
ด้วยจิตชื่นชมโสมนัสศรัทธา    อันเป็นสุขสำราญใจ ฯ
๐ พระเถรเห็นเทพมาแต่ไกล   จึงถามไปแก่ท้าวอินทรา
อันเทพโน้นงามโสภา              ศรีอารย์มาหรือเทพใด ฯ
๐ อินทราจึงแถลงแจ้งบัดใจ    เทพนี้มิใช่หน่อพระทศพล
พระมาลัยถามไปบัดดล           เทพนั้นสร้างกุศลผลบุญใดมา ฯ
๐ พระอินทรจึงบอกว่าเทวา     บุญได้สร้างมาแต่ก่อนนั้นไซร้
อยู่บ้านกรรณิกาเป็นทีอาศัย    แห่งชายเข็ญใจอยู่ในลังกา ฯ
๐ เห็นเจดีย์บรรจุธาตุพระศาสดา ชายนั้นศรัทธาชื่นชมยินดี
อุทิศซึ่งหัวเป็นดอกบัวศรี         ตาทั้งสองนี้ต่างชวาลา ฯ
๐ สุรเสียงอันใดที่กล่าววาจา    อ่อนหวานนั้นหนาเป็นธูปเทียนมาลี
 น้ำใจอุทิศเป็นน้ำหอมดี          หูทั้งสองนี้ให้เป็นใบธง ฯ
๐ ทั้งตัวของเขาอันบรรจง       ถวายเป็นเสาธงพระธาตุบูชา
ให้ทานจำศีลและภาวนา         มีใจเมตตาศรัทธาทุกวัน  ฯ
๐ ชักชวนสัปบุรุษให้มาฟังธรรม์ มิขาดวันเป็นนิตย์อัตรา
เดชะกุศลอุทิศตนบูชา             จึงได้นางฟ้าเก้าหมื่นบริวาร ฯ
๐ เทพนั้นประนมบังคมมมัสการ   พระเจดีย์ฐานพระเกศจุฬา
ทักษิณแปดทิศแล้วจึงวันทา    ด้วยใจปรีดาชื่นชมยินดี ฯ
๐ จึงถวายธูปเทียนดอกไม้มีศรี รุ่งเรืองรูจึสว่างชัชวาล
ครั้นแล้วนั่งเรียงเคียงกันในสถาน กับด้วยบริวารลำดับน้ันมา ฯ  ฉัน* ฯ

                    ( ฉบับเดิมว่า วัสสันตติดิลกฉันท์)

*ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน 

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๒)


กาพย์ยานี ๑๑

๐ เทพหนึ่งดูดาษดา           ยาตรามาอยู่ครึกครื้น
มีนางสวรรค์ได้เจ็ดหมื่น      สพรึบพร้อมล้อมกันมา ฯ
๐ พระเถรทอดตาเห็น         จึงถามท้าวอัมรินทรา
มาโน้นดูโสภา                     พระไมตรีหรือฉันใด ฯ
๐ พระศรีอารย์ท่านมาหรือ  เสียงบันลือพิลึกใจ
อินทราจึงขานไข                ว่ามิใช่พระศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรถามว่าใคร           งามโสภาชัชวาล
เมื่อก่อนสร้างสมภาร           ทำบุญใดในโลกา ฯ
๐ โกสีย์เธอจึงไข                พระมาลัยกล่าวปุจฉา
อานิสงส์ของเทพา              สั่งสมมาแต่เมืองคน ฯ
๐ เทพน้ันเมื่อชาติก่อน        เป็นเณรน้อยใจกุศล
มิประมาทมิลืมตน               มิได้เคียดแก่อาจารย์ ฯ
๐ ทำนุบำรุงชม                   ไหว้พระนมรับคำขาน
ทรงศีลสิบประการ              ก้มกราบนบซบเศียรลง ฯ
๐ ไหว้พระเป็นนิรันดร์         เขียนเรียนธรรมด้วยบรรจง
ปรนนิบัติแก่พระสงฆ์          เข้าใกล้แล้วและรักษา ฯ
๐ ถวายน้ำเย็นและน้ำร้อน  อยู่นวดฟั้นคั้นบาทา
กลางคืนอยู่รักษา               เมื่อกลางวันอยู่เฝ้าแหน ฯ
๐ เมื่อพระครูผู้ใหญ่            เสด็จไปไหว้พระแทน
ประทีปตามโคมแขวน        กวาดปัดแผ้วให้ผ่องใส ฯ
๐ อุปถัมภ์แล้วค้ำชู             มิให้ครูได้ยากใจ
ทรงศีลครองวินัย                ศีลสิบไซร้มิให้หมอง ฯ
๐ ด้วยเดชะบุญดั่งนี้            จึ่งได้มีวิมานทอง
มีชาวแม่ล้อมเนืองนอง       เพราะบุญตนรักษาครู ฯ
๐ สาวสวรรค์เจ็ดหมื่นล้อม   มาแห่ห้อมล้อมพรั่งพรู
บุญตนรักษาครู                   ได้นางฟ้าหน้านวลศรี ฯ
๐ เทพน้ันเสด็จมา                ถวายวันทาพระเจดีย์
ด้วยชาวแม่แลสาวศรี          ทั้งเจ็ดหมื่นล้วนสาวสวรรค์ ฯ
๐ ทักษิณทั้งแปดทิศ           แล้วสถิตลงพร้อมกัน
ในสถานอันก่อนนั้น             อันเคยนั้งแต่ก่อนมา ฯ  ราบ ฯ

กาพย์ร่ายไม้ ๓๒

๐ ยังมีเทพหนึ่ง          บริวารเครงครื้น
สาวสวรรค์แปดหมื่น  ห้อมล้อมกันมา
มือถือดอกไม้             ธูปเทียนชวาลา
คร้ันถึงวันทา              ไหว้พระเจดีย์ ฯ

๐ พระเถรเล็งเห็น      ถามท้าวโกสีย์
โน้นพระไมตรี            มาโน่นหรือใคร
อินทราจึ่งบอก           มานั่นมิใช่
พระเถรว่าใคร            เห็นมากนักหนา ฯ

๐ ทำบุญสิ่งใด          ได้ดั่งนี้นา
เดชะฤทธา                อานุภาพเรืองรอง
มีหมู่นางสวรรค์         ห้อมล้อมเนืองนอง
เมื่อก่อนน้ันครอง       กุศลชื่อใด ฯ

๐ เทพน้ันแต่ก่อน     เป็นคนเข็ญใจ
เห็นภิกษุไป             บิณฑบาตเดินจร
เอาข้าวแห่งตน        มาตักบาตรก่อน
ร้องด้วยเสียงอ่อน    ป่าวร้องท่านไป ฯ

๐ แม้เจ้าเรือนอยู่     มิรู้มิใส่
ชายนั้นบอกไป       ให้รู้ข่าวขจร
ดูราชาวเรา              มาใส่บาตรก่อน
พระสงฆ์เดินจร        แทบตรอกเรือนเรา ฯ

๐ มากน้อยตามได้   ใส่บาตรเถิดเจ้า
ตามศรัทธาเรา         พ่อแม่ทั้งหลาย
ชาวบ้านได้ยิน          คำกะทาชาย
ยินดีมากมาย            เอาข้าวไปใส่ ฯ

๐ ลางทีชายน้ัน        เอาภาชนะไป
ใส่มาแต่ไกล           ไปด้วยหาบหาม
ชักชวนสัปบุรุษ        ใส่บาตรด้วยงาม
ค่อยบอกค่อยถาม    ค่อยเล้าโลมเอา ฯ

๐ เพื่อให้เป็นบุญ      เป็นคุณแก่เขา
กับตัวของเรา            บรรลุนิพพาน
เพราะบุญดั่งนี้           จึงได้วิมาน
นางสวรรค์สะคราญ   แปดหมื่นล้อมมา ฯ

๐ เทพนั้นเสด็จใน     ท่ามกลางนางฟ้า
คร้ันถึงวันทา            ไหว้พระเจดีย์
ไหว้ทั้งแปดทิศ         ยกกรชุลี
แล้วนั่งตามที่             ลำดับกันไป ฯ



วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๑)




กาพย์ร่ายไม้ ๓๒

๐ ยังมีเทพหนึ่ง         บริวารสี่หมื่น
เสด็จมาชมชืน          ไหว้พระเจดีย์
พระเถรเล็งเห็น         ถามท้าวโกสีย์
องค์พระไมตรี           มาโพ้นหรือไร ฯ

๐ พระอินทร์จึงขาน  ไหว้พลางตอบไป
ใช่พระเมตไตรย        หน่อพระพุทธองค์
พระเถรว่าใคร            แลไปยิ่งยง
อินทราว่าใช่องค์       ใช่พระทศพล ฯ

๐ พระเถรจึงถาม        ความในกุศล
เทพนี้เมื่อเป็นคน       สร้างผลชื่อใด
มีอานุภาพ                 มากล้นเหลือใจ
บริวารงามไสว           ล้วนนางสาวศรี ฯ

๐ เทพนี้เมื่อก่อน      เป็นช่างหูกดี
ปัญญาก็มี                ทำบุญมิหย่อน
อยู่เมื่องอนุราช        บุรีนคร
ช่างหูกบวร              คือเพชรฉลูกรรม์ ฯ

๐ ชายน้ันแลเห็น     ซากผีขมีขมัน
เก็บฟืนด้วยพลัน     มาเผาเอาบุญ
นิมนต์พระสงฆ์        ให้บังสุกุล
ให้ทานทำบุญ         อุทิศส่งไป ฯ

๐ ชายน้ันตักบาตร      อาคาสผ้าไตร
ฟูกหมอนที่นอนใหญ่  เตียงตั่งอย่างดี 
ได้นางสี่หมื่น              เพราะบุญเผาผีง
มีที่นอนดี                   บุญให้ฟูกหมอน ฯ

๐ เทพนั้นผันผาย       ถวายชุลีกร
พระธาตุบวร               ด้วยบริวารตน
ทักษิณแปดทิศ         ด้วยจิตกุศล
ทั้งบริวารตน              นั้งเรียงกันไป ฯ

๐ ดับน้ันเทพหนึ่ง     เสด็จมาทันใด
นางห้าหมื่นไสว       แต่ล้วนสาวสวรรค์
มีพระรัศมี                 มีแสงเฉิดฉัน
มาถวายอภิวันท์       พระธาตุเจดีย์ ฯ

๐ พระเถรแลเห็น    ถามท้าวโกสีย์
นั้่นพระไมตรี           ใช่หรือเทพใด
พระอินทร์ตอบคดี   เทพนี้มิใช่
พระเถรว่าใคร          เรืองทั่วสากล ฯ

๐ พระเถรว่าเทพ     ผู้นั้นสร้างผล
เมื่ออยู่เป็นคน         ทำกุศลชื่อใด
มีนางสวรรค์            ห้อมล้อมไสว
รัศมีเรืองใส             แน่นเนืองกันมา ฯ

๐ เทพนี้เมื่อก่อน     ได้เป็นพระยา
ในเมืองลังกา           เกาะแก้วบุรี
ชื่อท้าวศรัทธา          ติสสาธิบดี
เธอได้เป็นพี่              แห่งท้าวอภัย ฯ

๐ เธอนั้นเคารพ        ไหว้นพระรัตนตรัย
พระอรหันต์นั้นไซร้    ท่านได้นมัสการ
รักษาศีลห้า               ศีลแปดประการ
ไตรลักษณญาณ       ท่านได้ภาวนา ฯ

๐ บ่มิได้ตระหนี่        ถี่ทรัพย์บูชา
พระเจ้าไปมา           ยาจกอาศัย
บุญดั่งนี้แล               นาพระมาลัย
นางสวรรค์แลไสว    ห้าหมื่นมีศรี ฯ

๐ เทพน้ันเสด็จมา   ไหว้พระเจดีย์
กับนางสาวศรี          ห้าหมื่นบริวาร
ก้มเกล้าเกศี             ยกกรนมัสการ
ทักษิณชื่นบาน         แปดทิศเวียนไป ฯ

๐ แล้วออกมานั้ง     ลำดับต่อไป
ตามอัชฌาศัย         ที่นั่งแห่งตน
กับทั้งบริวาร           ห้าหมื่นสับสน
ตามที่ของตน         เคยนั้่งทุกที ฯ เชิด ฯ

กาพย์ฉบัง ๑๖

๐ เทพหนึ่งเสด็จมาด้วยพลัน  บริวารครามครัน
นับได้หกหมื่นโดยตรา ฯ
๐ มาเพื่อจะไหว้วันทา              พระเกศจุฬา
พระธาตุพระเจ้าด้วยดี ฯ
๐ พระเถรถามท้าวโกสีย์          โน้นพระไมตรี
โพธิสัตว์เจ้าหรือกลใด ฯ
๐ พระอินทร์จีงบอกพระมาลัย  ศรีอารย์มิใช่
เทพองค์อื่นไซร้เสด็จมา ฯ
๐ พระเถรถามท้าวอินทรา        ว่าเทพน้ันหนา
ได้สร้างกุศลชื่อใด ฯ
๐ อินทราว่าท่านนี้ไซร้             ชื่อท้าวอภัย
ทศคามณีลงกา ฯ
๐ ท่านนี้เลื่อมใสศรัทธา          ให้ข้าวแลผ้า
ให้ทั้งกุฎีแลสถาน ฯ
๐ ปรนนิบัติเภสัชบริขาร           อุปฐากทุกกาล
ฟังธรรมเป็นนิตย์โดยจง ฯ
๐ ไหว้นพเคารพดำรง             ต้ังจิตใจปลง
ช่วยท้ังมวลสงฆ์อันดี ฯ
๐ ทำสถูปรูปพระเจดีย์            ปลูกไม้พระศรี
มหาโพธิ์เป็นเจดีย์สถาน ฯ
๐ ปรนนิบัติพ่อแม่เผ่าปราน     รักษาพยาบาล
บำเรอพระสงฆ์ขัดสน ฯ
๐ ผู้่ใดยากไร้ทรพล                ลำบากยากจน
ก็ให้ดั่งใจจินดา ฯ
๐ ผู้ใดมีใจปรารถนา               ข้าวน้ำโภชนา
ก็ให้ตามใจจำนง ฯ
๐ ชีพราหมณ์สมณะพระสงฆ์  ต้ังใจจำนง
ปฎิบัติทุกเวลา ฯ
๐  ท่านนั้นได้ทำก่อนมา         จึ่งได้นางฟ้า
หกหมื่นสับสนล้อมมา ฯ
๐ เทพน้ันจึงเสด็จเคลื่อนคลา  กราบไหว้วันทา
แล้วทักษิณรอบพระเจดีย์ ฯ
๐ ยอกรประนมชุลี                    ไหว้พระเจดีย์
ด้วยใจใสสุทธิ์ศรัทธา ฯ
๐ ไหว้แล้วจึงเสด็จออกมา        นั้่งในฐานา
อันควรอันดับน้ันไป ฯ ฉัน ฯ

* คำว่า เชิด ฉัน เข้าใจว่าเป็นการบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน







      

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๐)



กาพย์ฉบัง  ๑๖
๐ เทพผู้หนึ่งมาด้วยพลัน       บริวารครามครัน 
ได้สองหมื่นห้อมล้อมกันมา ฯ
๐ มาเพื่อจะไหว้วันทา            พระมาลัยทอดตา
เห็นถามท้าวโกสีย์มินาน ฯ
๐ มานั่นหรือคือพระศรีอารย์    ผู้มีสมภาร
หน่อพุทธางกูรเจ้าหรือฉันใด ฯ
๐ พระอินทร์จึงขานตอบไป     มานั้นมิใช่
องค์พระเจ้าพระศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรจึงเผยโวหาร           ถามท่านมัฆวาน
ว่าเทพนั้นคือองค์ใด ฯ
๐ ได้สร้างกุศลนั้นชื่อใด         มีบริวารไสว
แต่ล้วนงามงามทุกตน ฯ
๐ พระอินทร์จึ่งชี้ช่องกุศล      เทพนั้นเป็นคน
ได้ตักบาตรน้อยหนึ่งทีเดียว ฯ
๐ แก่ภิกษุอันเดินเที่ยว          บิณฑบาตมิเหลียว
ประกอบด้วยศีลาจารย์ ฯ
๐ ผู้ใดตักบาตรเป็นทาน        แก่ภิกษุศีลาจารย์
อันบิณฑบาตในสถานหนทาง ฯ
๐ ผู้นั้นได้บริวารล้วนนาง       ประดับต่างต่าง
ล้วนมีรูปโฉมโนมพรรณ ฯ
๐ เทพนั้นเสด็จเข้ามาพลัน   ถวายธูปเทียนสุวรรณ 
แก่พระธาตุจุฬามณี ฯ
๐ ไหว้ทั้งแปดทิศด้วยดี       ด้วยนางสาวศรี
มานั้งในที่อันดับน้ันไป ฯ
๐ เทพผู้หนึ่งมาบัดใจ         บริวารสามหมื่นไสว
สะพรึบพร้อมล้อมกันมา ฯ
๐ มาเพื่อจะไหว้วันทา        พระเถรทัศนา
เธอจึงถามท้าวมัฆวาน ฯ
๐ มานั้นหรือคือพระศรีอารย์ พระอินทร์จึ่งขาน
ว่ามิใช่พระเมตไตรย ฯ
๐ พระเถรถามว่าคือใคร    พระอินทร์ขานไข
ว่ามิใช่พระศรีอารย์ ฯ
๐ คือว่ามหาราชสมภาร   แต่ก่อนโพ้นนาน
เทพนั้นสร้างกุศลชื่อใด ฯ
๐ จึ่งมีรัศมีสดใส             ทำบุญชื่อใด
จึ่งมีนางฟ้าเป็นบริวาร ฯ
๐ พระอินทร์จึงตอบมินาน  ก่อนเป็นนายบ้าน
ชื่อว่าหรตาลเศรษฐี ฯ
๐ ได้ให้ทานจำศีลด้วยดี  สร้างกุศลอันมี
เชื่อทั้งคุณแก้วสามประการ ฯ  ฉัน* ฯ


กาพย์ยานี ๑๑
๐ เศรษฐีน้ันมีศรัทธา                  ในศาสนาเป็นแก่นสาร
ต้ังใจบำเพ็ญทาน                       ของตระการเอนกไป ฯ
๐ ตักบาตรไม่ขาดวัน                  แต่งจังหันของฉันไว้
พระสงฆ์โคจรไป                        เอาใจใส่ไมขาดเว้น ฯ
๐ ถวายเครื่องใช้แลเสื่อสาด      เครื่องปูลาดสารพัน
กลางคืนแลกลางวัน                  เอาใจใส่ทุกเวลา ฯ
๐ ครั้นแล้วสมาทาน                   ศีลห้าประการหมั่นรักษา
เป็นนิตย์เป็นอัตรา                     มิได้ขาดแต่สักวัน ฯ
๐ คร้ันถึงวันแปดค่ำ                   สิบห้าค่ำเข้าด้วยพลัน
นิมนต์พระสงฆ์ฉัน                     แต่งจังหันอันโอชา ฯ
๐ ตักบาตรอังคาสถวาย            ของทั้งหลายมีนานา
ศีลแปดหมั่นรักษา                    เป็นนิตย์มาทุกราตรี ฯ
๐ เศรษฐีมีกรุณา                       แก่สมณะแลพราหมณ์ชี
ยากจนอันมากมี                       ของจำแนกแจกให้ทาน ฯ
๐ มิได้มีใจตระหนี่                    จิตยินดีทุกประการ
ทำบุุญแล้วชื่นบาน                   ศรัทธาในศาสนา ฯ  เชิด *ฯ

กายพ์ฉบัง ๑๖
๐ เศรษฐีน้ันศรัทธายิ่งยง       ปฎิบัติพระสงฆ์
ถ้วนทุกสิ่งเป็นอันดี ฯ
๐ แล้วถวายเภสัช                  อัฎฐบาลอันมี
แก่นางภิกษุณีสามเณรและสงฆ์ ฯ
๐ ถวายเครื่องสารพัดบรรจง  สร้างรูปพุทธองค์
ขอประสบพบพระเมตไตรย ฯ
๐ ผู้ไดอาพาธแล้วเอาใจใส่   ผู้ใดเข็ญใจ
บ่มิได้ขัดทุกสถาน ฯ
๐ เศรษฐีน้ันให้ยาเป็นทาน   ข้าวน้ำอาหาร
ให้ทั้งสบงและจีวร ฯ
๐ ได้ล้วนนางเทพอัปสร       สามหมื่นงามสลอน
เพราะให้ทานข้าวน้ำและยา ฯ
๐ เทพน้ันจึงเสด็จเข้ามา      กราบไหว้วันทา
พระมหาเจดีย์บวร ฯ
๐ ทักษิณแปดทิศเดินจร     ด้วยนางอัปสร
แล้วก็นั้งเรียงกันไป ฯ

*  คำว่า ฉัน  เชิด เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบ




วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๙)




กาพย์ยานี ๑๑

๐ เมื่อน้ันพระมาลัย             ได้ฟังอินทร์เธอแถลงถวาย
จึงถามอภิปราย                   ซึ่งอินทราใจกุศล ฯ
๐ ดูก่อนท้าวอินทรา            เทพเทวาในเบื้องบน
มาไหว้ธาตุทั้่วทุกตน           เป็นสุขรื่ืนชื่นชูใจ ฯ
๐ ไมตรีพระโพฺธิสัตว์            ท่านยังเสด็จหรือฉันใด
นมัสการพระธาตุไซร้           พระศรีอารย์ยังมาหรือ ฯ
๐ พระศรีอารย์ใจสุทธิ์          หน่อพระพุทธอันเลื่องลือ
ท่านนั้นยังมาหรือ                หรือเสด็จอยู่ในวิมาน ฯ
๐ อินทราจึงขานตอบ          โดยระบอบชอบโวหาร
พระเจ้าพระศรีอารย์             อย่าพักว่าไปใยเลย ฯ
๐ ไมตรีท่านดีนัก                 ย่อมเสด็จมา ณะ หัวเอ๋ย
พระเณรอย่าถามเลย           พระศรีอารย์ท่านเสด็จมา ฯ
๐ พระมาลัยเจ้าจึงถาม        ด้วยคำงามเผยวาจา
พระศรีอารย์หน่อศาสดา      เคยเสด็จมา ณวันใด ฯ
๐ เธอจะมาในวันนี้               หรือจะมาวันอื่นใด
รูปใคร่รู้ใคร่แจ้งใจ               ใคร่ชมบุญพระศรีอารย์ ฯ
๐ อินทรายกมือไหว้            พระมาลัยบอกอาการ
อันองค์พระศรีอารย์             ย่อมมาไวห้พระเจดีย์ ฯ
๐ สิบสี่ค่ำสิบห้าค่ำ              และแปดค่ำดั่งวันนี้
พระศรีอารย์ไมตรี                มาไหว้พระเป็นธรรมดา ฯ
๐ พระศรีอารย์ไมตรี            ก้มกราบไหว้วันทนา
ไหว้แล้วเสด็จเทศนา          ตูข้าฟังเพราะวังเวง ฯ
๐ อรรถาธิบายธรรม์            พระองค์นั้นเทศนาเอง
เสียงเสนาะเพราะครื้นเครง ฝูงเทพฟังก็ยินดี ฯ
๐ เมื่อนั้นพระมาลัย             เธอจึงถามท่้าวโกสีย์
วันนี้วันอัฎฐมี                      ท่านจะมาหรือกลใด ฯ
๐เออพ่อท่านจะมา             มหาเถรอย่าร้อนใจ
หน่อยหนึ่งพระเมตไตรย    ท่านจะมาถึงสถาน ฯ
๐ พระเถรแลอินทรา           กล่าววาจามิทันนาน
เทพหนึ่งมีบริวาร                ได้ร้อยหนึ่งจึงเสด็จมา ฯ
๐ พระเถรทอดตาเห็น         จึงถามท้าวอัมรินทรา
มาโน้นงามโสภา                นั่นแล้วหรือพระศรีอารย์ ฯ
๐ อินทราจึ่งกล่าวแก้          โดยเที่ยงแท้มิทันนาน
ใช่องค์พระศรีอารย์             ผู้เป้นเจ้าอันเลิศไตร ฯ
๐ พระเถรท่านจึงถาม         ท่านผู้นั้นคือองค์ใคร
ทำบุญสิ่งอันใด                  มีบริวารงามโสภา ฯ
๐ ข้าแต่พระมหาเถร           เทพผู้นี้ผู้อื่นนา
ใช่หน่อพระศาสดา             ใช่หน่อพระศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรจึงถามเล่า           ท่านผู้นี้มีสมภาร
ประกอบด้วยบริวาร             ทำบุญใดเมื่อเป็นคน ฯ
๐ ข้าแต่มหาเถร                  ข้าจะบอกซึ่งกุศล
เทพนี้เมื่อเป็นคน                ยากอับจนไร้เข็ญใจ ฯ
๐ เกี่ยวหญ้ามาขายกิน       ตามระบอบโลกวิสัย
ห่อข้าวผอกตะพายไป       เพื่อจะกินเลี้ยงอาตมา ฯ
๐ ชายนั้นปั้นก้อนข้าว        ก้อนหนึ่งเล่าให้ทานกา
ด้วยจิตคิดกรุณา                แก่ตัวกาอันอัปรีย์ ฯ
๐ เมื่อจะตายระลึกได้        ถึงบุญนั้นก็ยินดี
จึงได้เกิดมาหากมี             วิมานทิพย์ในเมืองฟ้า ฯ
๐ ผู้ใดได้ให้ข้าว                แก่เดรัจฉานคือนกกา
ด้วยใจใสศรัทธา               อันยินดีเชื่อคุณทาน ฯ
๐ ผลบุญนั้นแต่งให้          ได้นางฟ้าเป็นบริวาร
มีสาวสวรรค์อันสคราญ     ได้ร้อยหนึ่งหน้านาลศรี ฯ
๐ เทพนั้นเธอเสด็จมา       ถวายวันทาพระเจดีย์
ด้วยชาวแม่นางสาวศรี      ย่อมมีรูปอันโสภา ฯ
๐ ถวายธูปแลเทียนทอง   ดอกไม้กรองแล้วบูชา
ถวายแล้วก็ออกมา           นั่งในทิศอุดรนั้น ฯ
๐ บัดนั้นมิทันนาน             เทพผู้หนึ่งจึ่งมาพลัน
บริวารถ้วนถึงพัน               เพื่อจะไหว้พระเจดีย์ ฯ
๐ บริวารย่อมสาวหนุ่ม      หน้าชวยชุ่มงามมีศรี
รุ่งเรืองด้วยรัศมี                สีช่วงโชติเสด็จมา ฯ
๐ มหาเถรทอดตาไป        เห็นเทพไท้เสด็จมา
จึ่งถามท้าวอินทรา            จะใคร่แจ้งรู้แก่ใจ ฯ
๐ มานั้นดูชัชวาล               พระศรีอารย์หรือองค์ใด
มีชาวแม่งามไสว               สพรึบพร้อมล้อมกันมา ฯ
๐ พระอินทร์บอกมิใช่        พระมาลัยว่าใครมา
ที่มาน้ันดูโสภา                 มีรัศมีสีแสงใส ฯ
๐ อินทราว่าผู้อื่น              พระเถรถามว่าคือใคร
ได้ทำบุญนั้นชื่อใด           นางจึงล้อมเป็นบริวาร ฯ
๐ เมื่อนั้นท้าวโกสีย์          กล่าวคดีตอบมินาน
เทพนั้นเป็นโคบาล           บ่าวหนุ่มน้อยไปเลี้ยงวัว ฯ
๐ เมื่อจะกินซึ่งข้าวผอก   แบ่งแล่งออกไว้ส่วนตัว
ส่วนหนึ่งให้เด็กเลี้ยงวัว   อันเป็นเพื่อนเลี้ยงด้วยกัน ฯ
๐ ผลบุญใด้ให้ข้าว           เด็กเลี้ยงวัวเป็นเพื่อนนั้น
บริวารถ้วนถึงพัน              งามแน่งน้อยหน้านวลศรี ฯ
๐ แห่ห้อมล้อมกันมา        เพื่อวันทาพระเจดีย์
บริวารหนึ่งพันมี                เพราะให้ข้าวเด็กโคบาล ฯ
๐ ผู้ใดได้ให้ข้าว               แก่คฤหัสถ์อันเป็นทาน
ได้นางสวรรค์อันสคราญ  พันหนึ่งล้อมพร้อมไสว ฯ
๐ ผู้ใดได้ให้ข้าว               แก่คฤหัสถ์ทรงวินัย
บริวารยิ่งขึ้นไป                ด้วยศรัทธาอันตรึกตรอง ฯ
๐ เทพนั้นเสด็จเข้ามา     ถวายวันทาธูปเทียนทอง
ด้วยชาวแม่นางทั้งผอง   ถ้วนแปดทิศเป็นบูชา ฯ
๐ ทักษิณสามรอบแล้ว    ออกมานั่งในฐานา
ฝ่ายข้างปัจฉิมทิศา         เป็นกำหนดในสถาน ฯ
๐ ยังมีเทพองค์อื่น          นางถ้วนหมื่นเป็นบริวาร
เสด็จมาสุขสำราญ          เพื่อจะไหว้พระเจดีย์ ฯ
๐ พระเถรจึงถามพลัน    เทพผู้นั้นเรืองรูจี
พระศรีอารย์ไมตรี           โพธิสัตว์หรือฉันใด ฯ
๐ พระอินทร์จึงแถลง      บอกให้แจ้งตระบัดใจ
ใช่องค์พระเมตไตรย      ใช่พระเจ้าศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรจึงถามพลัน    เทพผู้นั้นมีบริวาร
เมื่อก่อนสร้างสมภาร     เป็นกุศลผลชื่อใด ฯ
๐ อินทราบอกให้แจ้ง    แถลงยุบลกุศลไป
เทพนี้เมื่อก่อนไซร้        ฝ่ายกุศลย่อมแจ้งเจน ฯ
๐ ใจดีบ่มิเศร้า               ได้ให้ข้าวแก่เจ้าเณร
ทั้งกายก็อ่อนเอน          ศรัทธาเชื่อในศาสนา ฯ
๐ เดชะบุญให้ทานข้าว  แก่เจ้าเณรด้วยศรัทธา
สิ้นชีวิตได้เกิดมา          ในเมืองฟ้าสุขสำราญ ฯ
๐ นางสวรรค์หมื่นหนึ่่งล้อม  ตามแห่ห้อมเป็นบริวาร
สาวสวรรค์อันสะคราญ         ด้วยให้ทานเป็นกุศล ฯ
๐ ผู้ใดได้ให้ข้าว                   แก่เจ้าเณรปุถุชน
เทพนั้นจึ่งได้ผล                   นางหมื่นหนึ่งเป็นบริวาร ฯ
๐ บุญนั้นจึงตามติด              ทั้่วทุกทิศตราบนิพพาน
ด้วยเดชะอันให้ทาน             ได้บริวารหมื่นหนึ่งมี ฯ
๐ เทพน้ันก็เข้ามา                 ไหว้บูชาพระเจดีย์
ด้วยชาวแม่แลสาวศรี            อันเป็นยศบริวาร ฯ
๐ ไหว้แล้วทั้งแปดทิศ           ออกมานั้นในสถาน
ทักษิณแล้วอยู่สำราญ           ตามกำหนดตำแหน่งตน ฯ  เชิด  ฯ

*เชิด  เข้าใจว่าบอกบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อจบตอน







วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๘)









 กาพย์ร่ายไม้  ๓๒

๐ เมื่อนั้นอินทรา              จึงว่าถามไป
พระมาแต่ไหน                 มาถึงเมืองสวรรค์
ข้าพระขอถาม                 จงบอกข้าพลัน
มาถึงเมืองสวรรค์            เพื่อเอาอันใด ฯ
๐ เมื่อนั้นพระเถร             จึงบอกทันใด
ตามอัชฌาสัย                 อันเธอขึ้นมา
เรานำดอกไม้                  มาถวายบูชา
เพื่อจะวันทา                   พระเจดีย์จอมธรรม ฯ
๐ พระเถรจึงถาม             เจดีย์ใครทำ
อินทรารับคำ                   ข้าพเจ้ารจนา
ข้ากระทำไว้                    เพื่อไหว้บูชา
แก่เทพเทวา                   อันอยู่เมืองสวรรค์ ฯ
๐ ข้าทำด้วยแก้ว             อินทนิลมีพรรณ
จุพระเกศนั้น                   เขี้ยวแก้วทศพล
พระเถรจึงว่า                   เทวาถ้วนตน
ได้ทำกุศล                      แต่อยุู่เมืองดิน ฯ
๐ จึงได้เสวยสุข              เป็นพรหมเป็นอินทร์
จะนั่งอยูํ่กิน                     เพราะบุญแห่งตน
ดังฤาเป็นเทพ                 ยังทำกุศล
จะสืบแผ่ผล                   ไปเล่าเยียใด ฯ
๐ อันจะนั่งอยู่กิน             ผลก่อนเป็นไร
ดังฤาสร้างไป                  ให้ยากแก่ตน
อินทราจึงไหว้                 พระเถรบัดดล
จึงกล่าวยุบล                   ให้แจ้งที่ถาม ฯ
๐ ข้าแต่พระเถร               เป็นเจ้าใจงาม
พระเจ้าไถ่ถาม                ข้าขอแถลงถวาย
เมื่อเป็นเทวา                   ด้วยกันทั้งหลาย
ลางเทพหญิงชาย           บุญน้อยเดียวไป ฯ
๐ มาอยู่่ในสวรรค์            บ่มิทันเท่าใด
จะกลับลงไป                  ในโลกโลกา
ประดุจดั่งคน                   ทำไร่ไถนา
ได้ข้าวเอกา                    ทะนานเดียวน้อยไป ฯ
๐ เอาไปใส่ไว้                 ในยุ้งอันใด
บ่มิได้เท่าใด                   หมดสิ้นบ่มินาน
เทวาบางองค์                  บุญมากโอฬาร
มาอยู่ได้นาน                   บนสวรรค์เป็นเสถียร ฯ
๐ ประดุจดังคน               มีข้าวหลายเกวียน
เก็บไว้สังเวียน                ยุ้งฉากอนันต์
ผู้นั้นได้กิน                      หลายปีหลายวัน
เพราะข้าวมากครัน         บ่มิเป็นกังวล ฯ
๐ อันนี้อุปมา                  ดั่งเทพเบื้องบน
มีบุญแผ่ผล                    ยืนนานเหลือหลาย
อุปมาผู้หนึ่ง                   ข้าวน้อยเดี่ยวดาย
รู้ศิลป์มากมาย               มีคุณปัญญา ฯ
๐ ผู้นั้นค้าขาย               ขนขวายไร่นา
ได้เลี้ยงอาตมา             บ่มิตกเข็ญใจ
เมื่อมีข้าวน้อย               รู้ศิลป์อื่นไซร้
ทำการสืบไป                 บ่มิได้ขาดสาย ฯ
๐ เร่งทำไร่นา                เร่งค้าเร่งขาย
ภายหลังมากมาย          ทร้พย์สินมากมี
ดั่งนี้อุปมา                     ดั่งเทพาโลกนี้
แม้นถึงว่ามี                   บุญน้ันเท่าใด ฯ
๐ หมั่นทำบุญเล่า          สืบสืบขึ้นไป
ภายหลังสุขได้              มีบุญเหลือหลาย
อุปมาผู้หนึ่ง                  มีข้าวมากมาย
บ่มิขวนขวาย                ทำสิ่งอันใด ฯ
๐ บ่มิค้าขาย                 ไร่นาสืบไป
จะตกเข็ญใจ                 โหดไร้นักหนา
อุปมาดั่งเทพ                ในฉ้อกามา
ได้สร้างบุญมา              น้อยหนึ่งบ่มิครัน ฯ
๐ บ่มิได้ก่อเริ่ม              เพิ่มเติบบุญครัน
จะอยู่ในสวรรค์             น้อยหนึ่งแลนา
ผู้หนึ่งมีทรัพย์              มากมายนักหนา
มีความอุุตส่าห์             ค้าขายยิ่งคน ฯ
๐ ยิ่งมั่งมีแล้ว               ยิ่งทำนาผล
ทรัพย์สินแห่งตน         เอนกเหลือหลาม
อันนี้อุปมา                   ดั่งคนใจงาม
ทำบุญเกิบขาม            ได้เกิดในสวรรค์ ฯ
๐ ผู้นั้นอยู่สวรรค์          เร่งได้ฟังธรรม์
ผู้อยู่ในสวรรค์              เร่งได้บูชา
ได้ถวายธูปเทียน        ดอกไม้มณฑา
พระเกศจุฬา               เจดีย์สถาน ฯ
๐ ผู้นั้นจะอยู่               ในสวรรค์ยืนนาน
เพราะบุญสมภาร        จะค้ำชูตน
ไม่เกิดไม่ตาย             เวียนว่ายเวียนวน
สำเร็จเบื้องบน            สู่ห้องนิพพาน ฯ  เชิด ฯ

คำว่า เชิด  เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน









วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๗)







ภาคสวรรค์


กายพ์ฉบัง  ๑๖

๐ อันทานชั่วดีฉันใด               ใครให้ด้วยใจ
อันใสบริสุทธิ์ยินดี ฯ
๐ ด้วยบุญชื่นชมเปรมปรีดิ์       เอาโลกอุดรก็ดี
ก็จะได้ดุจดังใจ ฯ
๐ ดอกไม้ดอกเดียวงามไสว    ผู้ใดถวายไป
ได้นางฟ้าแปดโกฎิครัน ฯ
๐ ล้วนมีรูปโฉมโนมพรรณ       จะได้ทรงธรรม์
วิเศษจบปิฎกไตร ฯ
๐ พระเถรโมทนาแล้วไซร้       ถือดอกบัวไป
แล้วพระมาลัยจินดา ฯ
๐ ควรกูเอาไปบูชา                  ถวายดอกมาลา
ที่มหาเจดีย์มีนาน ฯ
๐ ในสัตมหาสถาน                   แต่ในก่อนกาล
กูเคยได้ไปบูชา ฯ
๐ คิดแล้วคิดเล่าเจ็ดครา          ที่ได้บูชา
ควรกูจะไปบัดนี้ ฯ
๐ อย่าเลยดอกไม้มีศรี              พระเกตุเจดีย์
บัดนี้ควรไปบูชา
๐ คิดพลางจะไปวันทา             พระเกตุจุฬา
อินทราประดิษฐานไว้
๐ ที่นั้นพระเถรมาลัย                 รับดอกบัวไป
ทั้งแปดดอกงามมีศรี ฯ
๐ จึงเหาะด้วยฤทธิ์พิธี               ถึงพระเกตุเจดีย์
ประมาณลัดนิ้วมินาน ฯ
๐ ดอกบัวแปดดอกอันบาน       เธอถวายในสถาน
ทั้งแปดทิศนั้นบูชา ฯ
๐ พระมาลัยจึงถวายวันทา        พระเกตุวันทา
แล้วก็นั่้งข้างฝ่ายบูรพ์ ฯ







กาพย์ยานี ๑๑
๐ เมื่อนั้นท้่าวอินทรา              มีนางฟ้าเป็นบริวาร
นางสวรรค์อันนงคราญ           จะแจ่มตาหน้านวลศรี ฯ
๐ นางสวรรค์สพรึบพร้อม       แห่ห้อมล้อมยอมสาวศรี
ไปไหว้พระเจดีย์                    ด้วยนางแม่ทั้งผอง ฯ
๐ อินทราจึงกราบไหว้           ถวายดอกไม้ธูปเทียนทอง
ชาวแม่นางทั้งผอง                จึงถวายตามท้าวอินทรา ฯ
๐ กราบไหว้ทั้งแปดทิศ         แล้วบพิตรจึงวันทา
ทักษิณรอบจุฬา                    มณีเวียนเป็นสามวง ฯ
๐ อินทราแลสาวสวรรค์        อันมีพรรณงามยิ่งยง
ทักษิณแล้วนั่งลง                 จึงเห็นองค์พระมาลัย ฯ
๐ อินทราแลสาวสวรรค์        ยกมือพลันงามไสว
วันทาพระมาลัย                   แล้วนั่งพร้อมล้อมเรียงรัน ฯ
๐ อินทราและนางฟ้า           กราบวันทาพร้อมพร้อมกัน
พระเถรนั่งอยู่นั้น                  มาแต่สวรรค์หรือแต่ไหน ฯ
๐ อินทราผู้ยิ่งยง                  จึงถามองค์พระมาลัย
ผู้เป็นเจ้าจงแจ้งไข              ประสงค์ใดจึงขึั้นมา ฯ
๐ นางสวรรค์แลเทวราช       เห็นประหลาดยิ่งนักหนา
พระเถรเจ้ากูมา                    จะปรารถนาเอาอันใด ฯ
๐ อินทราแลสาวสวรรค์        นั่งรายเรียงเคียงไป
วันทาพระมาลัย                   แล้วนั่งล้อมมหาเถร ฯ  ราบ* ฯ


*คำว่า  ราบ เข้าใจว่าบอกการบรรเลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน






วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๖)




ภาคสวรรค์

กาพย์ร่ายไม้  ๓๒

๐ เมื่อเช้าวันหนึ่ง            พระเถรมาลัย
จึงเสด็จเข้าไป                เที่ยวภิกขาจร
มีมือถือบาตร                  คลุมผ้าจีวร
เดินด้วยสังวร                 ได้แล้วคลาไคล ฯ
๐ ยังมีชายหนึ่ง               เป็นคนเข็ญใจ
เก็บฟืนหักไม้                  เลี้ยงพระมารดา
ลงไปสู่สระ                      เพื่อจะเก็บผักมา
เลี้ยงพระมารดา              ยามยากทรพล ฯ
๐ ชายนั้นอาบน้ำ            ชำระกายตน
เห็นดอกอุบล                  แปดดอกโสภา
ชายนั้นจึงเก็บ                 เอาดอกบัวมา
ด้วยใจศรัทธา                 ชื่นชมดีใจ ฯ
๐ ชายน้ันคร้ันเห็น           พระเถรมาลัย
เดินมาแต่ไกล                สำรวมอินทรีย์
ทอดตาชั่วแอก               เห็นงามมีศรี
มีฤทธิ์พิถี                        ด้วยฌานผ่องใส ฯ
๐ ชายนั้นยินดี                เปรมปรีดิ์ในใจ
จึงเดินเข้าไป                  ด้วยใจกุศล 
เคารพจบถวาย              ดอกไม้อุบล
ด้วยใจกุศล                    แก่พระมาลัย ฯ
๐ ชายน้ันจึงต้ัง              ปณิธานไป
นึกแต่ในใจ                    ข้าขอปรารถนา
จะเอาอันใด                   ชายนั้นจินดา
จึงกล่าวคาถา                ต้ังปณิธาน ฯ
๐ เดชะข้าถวาย             ดอกไม้เป็นทาน
ข้าเกิดในสถาน             ที่ใดทิศใด
แม้นได้หมื่นชาติ           แสนชาติไปไกล
ชื่อว่าเข็ญใจ                 อย่าได้เกิดมี ฯ
๐ พระเถรมาลัย             รับไว้ด้วยดี
ดอกบัวมีศรี                  จากชายนั้นมา
แล้วจึงกระทำ               อนุโมทนา
จึงสวดคาถา                ให้จำเริญบุญ ฯ  เชิด


คำว่า  เชิด เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน 

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๕)








กาพย์ยานี ๑๑ 

๐ สัตว์นรกแลเปตา            ถวายวันทาสั่งไป
พระเถรชื่อมาลัย                บอกแก่ญาติถ้วนทุกครา ฯ
๐ ทำบุญเป็นส่วนบุญ         แม่มีคุณและบิดา
จงบอกแก่ญาติกา              ข้าได้ยากแทบอาสัญ ฯ
๐ ชายชื่อน้ันร้องสัง            หญิงชื่อนี้ก็สั่งพลัน
บาปดังนี้มาตามทัน            ตูจึงได้ความทุกข์ทน ฯ
๐ อย่าให้กระทำบาป          ทำแต่ล้วนส่วนกุศล
อุทิศบุญแผ่ผล                   ส่งบุญน้ันจงเร็วรา ฯ
๐ เป็นทุกข์ทุกวันคืน          ให้สะอื้นโศกนักหนา
ให้พลางร้องสั่งมา              ถึงบิดาแลมารดร ฯ
๐ บ่่เห็นใครจักช่วยได้        เห็นแต่ญาติกาก่อน
ให้ญาติเร่งสังวร                 จำศีลแล้วเร่งให้ทาน ฯ
๐ เขากำชับถึงลูกนัก          อีกเมียรักนางนงคราญ
ให้ลูกรักเมียสงสาร            เอ็นดูเราเร่งทำบุญ ฯ
๐ ขอลูกผู้ใจบาน                เมียสงสารแม่มีคุณ
ให้เร่งกระทำบุญ                ส่งบุญน้ันมาเร็วพลัน ฯ
๐ เมื่อนั้นพระมาลัย            นำเอาไปบอกทุกอัน
ฝูงคนได้ฟังพลัน                ชักชวนกันสร้างกุศล ฯ  เชิด ฯ


กาพย์ฉบัง ๑๖

๐ เมื่่อนั้นฝูงชนท้ังหลาย         ได้ฟังภิปราย
พระมาลัยเจ้าบอกพลัน ฯ
๐ จึงแต่งกัปปิยจังหัน              ตักบาตรครามครัน
อุทิศบุญนั้่นส่งไป ฯ
๐ ต่างคิดอนิจจาในใจ             สงสารกระไร
ที่ญาติของเขาทุกข์ทน ฯ
๐ เร่งรีบสืบสร้างกุศล             อุทิศแผ่ผล
ขอให้ถึงญาติเร็วพลัน ฯ
๐ เมื่อนั้นฝูงเปรตทุกพรรค์     เล็งเห็นบุญนั้น
อันญาติตนทำก็ดีใจ ฯ
๐ เขาจึงพ้นทุกข์น้ันไป         เกิดในสุราลัย
มีนางฟ้าเป็นบริวาร ฯ
๐ ธรรมนี้เที่ยงแท้มิแปรผัน    พระมาลัยนั้น
ท่านมีอิทธิฤทธิ์นักหนา ฯ
๐ ท่านโปรดนรกแลเปตา       ให้พ้นทุกขา
นิราศทุกข์สุขสำราญ ฯ
๐ พระเถรกลับสู่วิหาร             เพ่ิ่มกิจนิตย์นาน
เป็นสารสุขสวัสดิ์อัตราฯ ราบ ฯ
                        
                             จบภาคนรก 
 

* คำว่า  เชิด ราบ เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน 

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๔)





กาพย์ฉบัง ๑๖

๐ เมื่่อนั้นบรรดาอสูรกาย           เปรตนรกทั้งหลาย
ยกมือขึ้นไหว้พระมาลัย ฯ
๐ ตูข้าลำบากเหลือใจ               ขอพระมาลัย
เอาคดีนี้ไปบอกญาติกา ฯ
๐ ขอพระบอกจงนักหนา            พระได้กรุณา
บอกญาติกาเร่งทำบุญ ฯ
๐ ให้เขาจำเริญพุทธคุณ             อุทิศส่วนบุญ
แผ่ผลมาอย่าได้นาน ฯ
๐ ให้ญาติตักบาตรเป็นทาน        ให้เร่งบันดาล
จำศีลสร้างพระภาวนา ฯ
๐ จงเร่งฟังธรรมเทศนา              แผ่ผลส่งมา
ตูข้าจะรับทันใจ ฯ
๐  ข้าแต่พระเถรมาลัย                เจ้ากูจงไป
ในเมืองน้ันฯญาติกาตู
๐ เมืองน้ันฝูงญาติข้าอยู่            ขอพระเอ็นดู
จงบอกแก่ญาติทั้งหลาย ฯ
๐ ตูข้าลำบากปางตาย                บอกญาติทั้งหลาย
บาปนี้อย่าทำเลย ฯ
๐ ตูข้าเจ็บปวดบ่เสบย                มาลัยเจ้าเอ๋ย
ขอพระบอกจงเร็วพลัน ฯ
๐ ให้เขาจำศีลทุกวัน                 ให้หมั่นฟังธรรม์
อุทิศบุญน้ันส่งมา ฯ
๐ ให้ถวายธูปเทียนชวาลา          อุทิศบุญมา 
ตูข้าจึงพ้นเพราะบุญ ฯ ฉัน ฯ

* คำว่า ฉัน  เข้าใจว่า บอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
ภาพ  จิตรกรรมฝาผนัง วัดดุสิตดารามวรวิหาร 

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๓)






กาพย์ยานี ๑๑
๐ เมื่อนั้นว่ายังมี                           เปรตฝูงหนึ่งเห็นพึงกลัว
มีแต่ตัวบ่มีหัว                               เปรตหัวด้วนเห็นพิกล ฯ
 ๐ยมบาลเอาเชือกเหล็ก              ร้อนกว่าร้อนมัดทั้งตน
ดิ้นระด่าวครางอะดล                    เขาเร่งคาดเร่งตรึงลง ฯ
๐ ยมบาลเอาเหล็กแหลม            ร้อนเป็นไฟตรึงท้ังองค์
 เอาหอกรุมแทงลง                      ชูขึ้นไว้ในเวหา ฯ
๐ เปรตนั้นดิ้นทุกข์ทน                  บนปลายหอกร้อนหนักหนา
ถ้าจะนับคณนา                             ยั่งยืนมากกว่าพันปี ฯ
 ๐ เปรตหัวด้วนเจ็บปวดนัก           เป็นอัปลักษณ์ร้ายอัปรีย์  
ปากอยู่ทวารน่าบัดสี                     ดวงตามีในอกตน ฯ
๐ มีหัวอยู่ในท้อง                          ส่วนจมูกอยู่เบื้องบน
มีรูปนั้นพิกล                                 ทนวิบากยากหนักหนา
๐แร้งกาล้วนปากเหล็ก                 นกตะกรุมรุมกันมา
เต็นเข้าสับจิกตา                           หูจมูกขาดเรีบงราย ฯ
๐ เปรตนั้นเป็นบ่มิเป็น                   ส่วนอาจารย์ก็มิตาย    
ลำบากยากเหลือหลาย                 ยังยืนมากว่าพันปี ฯ
๐ เปรตนั้นเมื่อเป็นคน                   อยู่แว่นแคว้นแดนบุรี
ราชคฤห์เมืองมีศรี                        ชายผุ้นี้ใจอาธรรม์ ฯ
๐ ชวนเพื่่อนไปรุกรัน                    ปล้นชิงท่านท้ังฆ่าฟัน
เป็นคนใจอาธรรม์                         ฉกตีนเอาคนเดินทาง ฯ
๐ เล็งเห็นสิ่งสินเขา                      ลักลอบเอาบ่เว้นวาง
ซุกซ่อนนอนริมทาง                      ลักช้างม้าและวัวควาย ฯ
๐ ปล้นชิงสิ่งสินเขา                      ไล่เจ้าของกระจัดกระจาย
บ่กลัวบ่ละอาย                              ปล้นฟันเฆี่ยนเอาทรัพย์เขา ฯ
๐ บาปปล้นท่านเจ้าทรัพย์            ให้ยากยับให้อับเฉา
ยมบาลท่านจึงเอา                        เชือกเหล็กแดงเร่งคาดลง ฯ
๐ บาปปล้นท่านเจ้าของ               โศกเศร้าหมองเร่งงวยงง
เหล็กแหลมเร่งตรึงลง                   เพราะบาปตนแทงยิงเขา ฯ
๐ บาปฉกชิงของท่าน                   ให้เจ้าทรัพย์จนอับเฉา
เป็ฺนเปรตอยู่ตัวเปล่า                      มีแต่ตัวไม่มีหัว ฯ
๐ บาปปล้นท่านร้องตวาด             ให้เจ้าทรัพย์ตกใจกลัว
เป็นเปรตไม่มีหัว                            มีแต่ตัวเห็นพิกล ฯ
๐ บาปปล้นชิงทรัพย์ท่าน              ให้เจ้าทรัพย์หนีอลวน
เป็นเปรตรูปพิกล                           มีหูตาอยู่ในอก ฯ
๐ บาปรุกร้นปล้นเอาท่าน              ให้เจ้าบ้านตกใจงก
เป็นเปรตรูปสกปรก                       ปากกลับตกอยุู่ทวารตน ฯ
๐ บาปรุกร้นปล้นของท่าน             ให้เจ้าบ้านไร้ทรพล
บรรดาปากอยู่เบื้องบน                  กลับพิกลอยู่ทวารเอง ฯ
๐ บาปฉวยฉกชิงของท่าน            ขู่คำรามอยู่ครื้นเครง
เป็นเปรตอยู่วังเวง                        มีหัวอยู่ในท้องตน ฯ
๐ บาปปล้นฉกตีท่าน                    ให้เจ้าบ้านตกใจฉงน
รูจมูกอยู่เบื้องบน                          รูปของตนก็เคลื่อนคลา ฯ
๐ บาปรุกร้นปล้นไล่จับ                 ชิงเอาทรัพย์ของเขามา
นกตะกรุมและแร้งกา                    บินโฉบมายื้อแย่งเอา ฯ
๐ ปากขาดจมูกขาด                      ตกเรี่ยราดดิ้นระเด่า
บาปตนปล้นชิงเขา                       หูตาเน่าเปื่อยทั้งกาย ฯ
๐ ร้องครางทนเวทนา                   ร่ำโศกาเร่งครางตาย
ลำบากยากเหลือร้าย                    บาปปล้นท่านมาถึงตน
๐ ดูราท่านทั้งหลาย                      เร่งขวนขวายสร้างกุศล
ญาติท่านได้ทุกข์ทน                    สั่งให้ท่านเร่งทำบุญ ฯ
 ๐ เปรตนรกสั่งฉันใด                    พระมาลัยผู้มีคุณ
ให้ญาติเขาทำบุญ                        อันเขาอยู่ในเมืองคน ฯ                              
 ๐ เปรตนรกสั่งดั่งนีั                      ร้องสั่งมีมาทุกคน                                          
ทำบาปได้ทุกข์ทน                       บาปดั่งนี้อย่าได้ทำ ฯ
 ๐ ชื่่อว่าทานให้เร่งให้                  ชื่อว่าศีลให้เร่งจำ
ชื่่อว่าบุญให้เร่งทำ                       คำพระเจ้าเร่งภาวนา ฯ  เชิด ฯ

ภาพ : จิตรกรรมฝาผนัง วัดดุสิตดารามวรวิหาร

คำว่า  เชิด เข้าใจว่าเป็นการบอกเพลงบรรเลงปี่พาทย์เมื่อจบตอน