วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์)



                                      ภาคพระศรีอารย์

กาพย์ยานี ๑๑

๐ เมื่อนั้นพระศรีอารย์        มีนงคราญงามไสว
แสนโกฎิสี่อสงไขย            แห่ห้อมล้อมพร้อมกันมา ฯ
๐ ฝ่ายหลังได้แสนโกฎิ      ฝ่ายหลังโสดดุจเดียวนา
นางน้้นงามโสภา               ทั้งไตรภพมิปูนปาน ฯ
๐ เบื้องขวาสร้อยสมโภช   นางแสนโกฎิเป็นบริวาร
เบื้องซ้ายพระศรีอารย์       ได้แสนโกฎิล้วนางสวรรค์ ฯ
๐ พระศรีอารย์ไมตรี           เสด็จท่ามกลางดั่งพระจันทร์
บริวารย่อมสาวสวรรค์        ประดุจดาวล้อมจันทร ฯ
๐ เบื้องหลังพระศรีอารย์    แสนโกฎิลานเทพอัปสร
รัศมีเครื่องอลังกรณ์          งามบวรรุ่งเรื่องฉาน ฯ
๐ ทั่งสี่ทิศนั้นเล่าโสด       เรืองฉายโชติชัชวาล
รัศมีสร้อยอลังการ            ยิ่งพระจันทร์วันเพ็ญศรี ฯ
๐ พระมาลัยเจ้าแลเห็น    พระศรีอารยะไมตรี
จึงถามท้าวโกสีย์             ด้วยคำเพราะอ่อนเอาใจ ฯ
๐ ท่านน้ันพ้นประมาณ     พระศรีอารย์ฤาว่าใคร
พระอินทร์จึงขานไข        ว่านั่นแหละพระศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรเห็นเทวา          มาก่อนหน้ายิ่งตระการ
ครั้นเห็นพระศรีอารย์        ยิ่งขึ้นไปได้แสนทวี ฯ
๐ ทวยเทพน้ันก็ถอยถด   ลดลดลงทุกทุกที
เพราะเห็นพระไมตรี         ผู้ประเสริฐเลิศภพไตร ฯ
๐ คุรุวนาดุจผู้หนึ่ง            เห็นหิ่งห้อยว่าเรืองใส
คร้ันเห็นพระจันทร์ไซร้     หิ่งห้อยนั้นก็อับสูญ ฯ
๐  อันหนึ่งอุปมา               เห็นเทวาว่าสมบรูณ์
คร้ันเห็นพุทธางกูร           เทพหมู่น้ันก็หมองศรี ฯ
๐ พระเถรเห็นนางฟ้า       มาก่อนหน้าพระไมตรี
จึงถามท้าวโกสีย์             เพื่อจะรู้จักอาการ ฯ
๐ สาวสวรรค์ล้วนนางฟ้า มาก่อนหน้าพระศรีอารย์
ทำบุญสร้างสมภาร          ผลชื่อใดในเมืองคน ฯ
๐ พระอินทร์จึงเล่าขาน   ถึงนงคราญสร้างกุศล
ให้รู้แจ้งแห่งเหตุผล        นางทั้งหลายได้ทำมา ฯ

กาพย์เอกบท ๑๒

๐ นางอันมา      ก่อนเบื้องหน้า      ก่อนเจ้าฟ้า          พระไมตรี  ฯ
๐ มีรัศมี            เป็นขาวล้วน         อาภรณ์ถ้วน         ล้วนพรรณขาว ฯ
๐ งามโฉมเฉิด  สาวขาวสด          งามหมดจด         ใครจักปาน ฯ
๐ ได้ทำบุญ      สิ่งใดบ้าง             แต่ก่อนสร้าง        กุศลใด ฯ
๐ จึงเกิดมา      ในเมืองฟ้า           มีพรรณนา             ขาวนิรมล ฯ
๐ ทั้งลำตน       สองแขนอ่อน      ทรงอาภรณ์           ภักตร์พึงชม ฯ
๐ รุูปอุดม          สมทุกสิ่ง             เห็นงามยิ่ง            เนื้อพรรณขาว ฯ
๐ น่าชื่นชม       ชาวมาหน้า          ก่อนผ่านฟ้า          พระศรีอารย์ ฯ
๐ แก้วประพาฬ มาเทียมเทียบ     เอามาเปรียบ         มิเหมือนกัน ฯ
๐ รัศมีจันทร์     ได้แสนโกฎิ          ดั่งนั้นโสด            มิปูนปาน ฯ
๐ ได้ทำทาน     ใดแต่ก่อน           เนื้อขาวอ่อน         ดั่งสำลี ฯ
๐ เราขอถาม     ท้าวตรีเนตร        จงแจ้งเหตุ            แห่งสมภาร ฯ
๐ เมื่อสมเด็จ     ท้าวตรีเนตร        จะบอกเหตุ           แห่งนงคราญ ฯ
๐ สำแดงการ     แลบอกเล่า         แก่พระเจ้า            ชื่อมาลัย ฯ
๐ จึงบอกไป      มิทันนาน            ซึ่งผลทาน            แห่งนางฟ้า ฯ
๐ ไหว้วันทา      ขึ้นเหนือเกศ       สำแดงเหตุ           แห่งกุศล ฯ
๐ นางทั้งหลาย เมื่อก่อนเกิด        เอากำเนิด           ในเมืองคน ฯ
๐ ทำกุศล          จำศีลสร้าง          ให้ทานบ้าง          ภาวนา ฯ
๐ น้ำมันหอม      อันอาบอบ          หมอตระหลบ       ทั้วทิศา ฯ
๐ ให้อาหาร        อันเอมโอช         มธุรส                   อันเจือจาน ฯ
๐ เครื่องตระการ งามทุกสิ่ง          เห็นงามยิ่ง           ขาวทุกพรรณ ฯ
๐ ให้อาหาร        อันขาวสด          ทั้งข้าวโพด         ขาวครามครัน ฯ
๐ ให้ผ้าดี            มีพรรณเลิศ       ขาวประเสริฐ        ดั่งสีสังข์ ฯ
๐ ให้ทั้งดวง       พวงดอกไม้        เครื่องลูบไล้        ย่อมล้วนขาว ฯ
๐ สารพัดขาว     แลขาวอ่อน        ให้ฟูกหมอน        ขาวสดใส ฯ
๐ ทั้งน้ำใจ          ก็พรายแพรว      ขาวดั่งแก้ว          แก้วประพาฬ ฯ
๐ ศรัทธาทาน    ใจระรื่น               หน้าแช่มชื่น        ชมยินดี ฯ
๐ แก่พระศรี        สัพพัญญู           สมเด็จผู้              หน่อพุทธองค์ ฯ
๐ ผู้ทรงธรรม      อันยิ่งยวด          ผู้ทรงผนวช         บวชเป็นสงฆ์ ฯ
๐ต้ังใจปลง        จะขอพบ             ขอประสบ           พระศรีอารย์ ฯ
๐ จำเริญทาน     จำศีลเรียน          ศรัทธาเพียร       ดั้งภาวนา ฯ
๐ สิ้นชาติมา       อยู่เมืองฟ้า         อยู่เบื้องหน้า      พระศรีอารย์  ฯ
๐ รูปนงคราญ     หน้าแน่งน้อย     ขาวแช่มช้อย      หน้านวลศรี ฯ
๐ มีรัศมี              ขาวขาวสด         งามหมดจด        ทั้วสารพางค์ ฯ
๐ หน้าสำอาง     ขาวขาวแจ่ม       เจรจาแย้ม          ยิ้มพรายพราย ฯ
๐ เดชะถวาย      ซึ่งข้าวโพด         รูปโฉมโสด        หน้าสะคราญ ฯ
๐ เดขะให้          ทานดอกไม้        จึงมาได้             รัศมีขาว ฯ
๐ เดชะบุญ         ชาวเจ้าแม่          ให้แป้งแผ่          ลูบไล้ทา ฯ
๐ ครั้นมาเกิด      ในดุสิต                ขาวพิจิตร         งามสะคราญ ฯ
๐ เดชะให้ทาน    ซึ่งฟูกหมอน       ขาวเนื้ออ่อน     ดั่งสำลี ฯ
๐ ให้ผ้าดี            เนื้อละเอียด        เส้นละเมียด      เนื้อละไม ฯ
๐ เกิดมาใน         แห่งเมืองฟ้า       ได้เสื้อผ้า          แลอาภรณ์ ฯ
๐ กำไลกร          ใส่เข็มขัด             สะอิ้งรัด            สะเอวกลม ฯ
๐ มีมงกุฎ            ประดับเกศ          สร้อยคอเพชร    รจนา ฯ
๐ ห้อมล้อมมา     อยู่ฝ่ายหน้า         ก่อนเจ้าฟ้า        พระศรีอารย์ ฯ
๐ งามประเสริฐ    โพธิสัตว์             ผู้จะตรัส             เป็นพุทธองค์ ฯ
๐ อานิสงส์           ชาวเจ้าแม่          ได้สร้างแล้        แตเมืองคน ฯ
๐ ทำกุศล             ล้นอเนก             อดิเรก              ด้วยอาหาร ฯ
๐ บอกกุศล           ผลดั่งนี้              ชี้ให้พระ            มาลัยฟัง ฯ
๐ ผลบุญนาง        ได้สร้างแล้ว       ได้วิมานแก้ว      ล้วนพรรณขาว ฯ ฉัน ฯ

*ฉัน  เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปึ่พาทย์เมื่อสวดจบ    


วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๔)


กาพย์ร่ายไม้  ๓๒

๐ ยังมีเทพหนึ่ง        บริวารถึงแสน
แต่ล้วนนางแมน       ห้อมล้อมกันมา
พระเถรเล็งเห็น        จึงถามอินทรา
พระไมตรีมา             โน่นหรือฉันใด ฯ
๐ เมื่อน้ันพระอินทร์  จึ่งขานตอบไป
เทพบุตรนี้ไซร้          ใช่พระศรีอารย์
เทพนี้ปรากฎ            ด้วยยศบริวาร
ได้สร้างสมภาร         ทำบุญสิ่งใด  ฯ
๐ บริวารห้อมล้อม    สะพรึบพร้อมมาไสว
ทำบุญชื่อใด            เมื่ออยู่เป็นคน
มาไหว้พระเจดีย์      เป็นสุขสถาผล
เมื่ออยู่เป็นคน          ทำกุศลชื่อใด ฯ
๐ เทพนี้เมื่อก่อน     เป็นเทพเข็ญใจ
อยู่ในเมืองใหญ่      อนุราชบุรี
ชายนั้นรักษา          ศีลห้าด้วยดี
ปัญญาก็มี               น้ำใจกุศล ฯ
๐ เกี่ยวหญ้ามาขาย ตามเข็ญใจตน
โดยชอบกุศล          ตามโลกวิสัย
ชายนั้นเดินตาม      ริมแม่น้ำไป
เห็นทรายผ่องใส    ดั่งเงินโสภา ฯ
๐ ชายน้ันเห็นทราย  จึงเกิดศรัทธา
ประมวลเข้ามา          ก่อพระเจดีย์
ชายน้ันกราบกราน    ยกกรชุลี
ชื่นชมยินดี                จึ่งกล่าวคาถา ฯ  เชิด ฯ

กาพย์ยานี ๑๑

๐ พระสถูปเจดีย์ทราย    งามพรรณรายเห็นสมบรูณ์
ดุจดั่งแก้วไพทรูย์           รัศมีเลื่อมเลื่อมเรืองพราย ฯ
๐ รุ่งเรืองคือกองไฟ        งามแสงใสด้วยแสงทราย
เฉิดฉันงามพรรณราย      ดูพิจิตรงามโสภา ฯ
๐ เร่งยินดียอกรไหว้        เพราะตนได้แต่งรจนา
น้อมตัวอ่อนลงมา           ร้องออกปากสรรเสริญชม ฯ
๐ น้ำจิตก็โอนอ่อน          ประนมกรขึ้นบังคม
เก็บดอกไม้มาผสม         เรียงเรียบไว้ถวายบูชา ฯ
๐ เลี้ยงดูบำเรอสงฆ์       ให้สบงจีวรมา
ฉลองทานเป็นนาวา       จะขี่ข้ามพ้นสงสาร ฯ
๐ บุญก่อเจดีย์ทราย       ได้นางฟ้าเป็นบริวาร
แสนหนึ่งล้วนสะคราญ    เป็นบริวารหน้านวลศรี ฯ
๐ เทพนั้นเสด็จเข้ามา     ถวายวันทาพระเจดีย์
กราบกรานอัญชุลี           ประนมกรด้วยบรรจง ฯ
๐ ทักษิณทั้งแปดทิศ      ไหว้พระแล้วนั่งลง
ในสถานที่จำนง              อันเคยนั่งนั้นถัดไป ฯ ฉัน ฯ

* ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน

                    จบภาคสวรรค์         
  

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๓)


กาพย์หยาดฝน  ๑๔

๐ เทพผู้หนึ่งเสด็จลินลา          ยาตรามาแน่นเนืองครืน
มีนางสวรรค์ได้เก้าหมื่น           สะพรึบพร้อมล้อมมาไสว ฯ
๐ ตามเทียนทองกรองดอกไม้ ก้มกราบไหว้แล้ววันทา
ด้วยจิตชื่นชมโสมนัสศรัทธา    อันเป็นสุขสำราญใจ ฯ
๐ พระเถรเห็นเทพมาแต่ไกล   จึงถามไปแก่ท้าวอินทรา
อันเทพโน้นงามโสภา              ศรีอารย์มาหรือเทพใด ฯ
๐ อินทราจึงแถลงแจ้งบัดใจ    เทพนี้มิใช่หน่อพระทศพล
พระมาลัยถามไปบัดดล           เทพนั้นสร้างกุศลผลบุญใดมา ฯ
๐ พระอินทรจึงบอกว่าเทวา     บุญได้สร้างมาแต่ก่อนนั้นไซร้
อยู่บ้านกรรณิกาเป็นทีอาศัย    แห่งชายเข็ญใจอยู่ในลังกา ฯ
๐ เห็นเจดีย์บรรจุธาตุพระศาสดา ชายนั้นศรัทธาชื่นชมยินดี
อุทิศซึ่งหัวเป็นดอกบัวศรี         ตาทั้งสองนี้ต่างชวาลา ฯ
๐ สุรเสียงอันใดที่กล่าววาจา    อ่อนหวานนั้นหนาเป็นธูปเทียนมาลี
 น้ำใจอุทิศเป็นน้ำหอมดี          หูทั้งสองนี้ให้เป็นใบธง ฯ
๐ ทั้งตัวของเขาอันบรรจง       ถวายเป็นเสาธงพระธาตุบูชา
ให้ทานจำศีลและภาวนา         มีใจเมตตาศรัทธาทุกวัน  ฯ
๐ ชักชวนสัปบุรุษให้มาฟังธรรม์ มิขาดวันเป็นนิตย์อัตรา
เดชะกุศลอุทิศตนบูชา             จึงได้นางฟ้าเก้าหมื่นบริวาร ฯ
๐ เทพนั้นประนมบังคมมมัสการ   พระเจดีย์ฐานพระเกศจุฬา
ทักษิณแปดทิศแล้วจึงวันทา    ด้วยใจปรีดาชื่นชมยินดี ฯ
๐ จึงถวายธูปเทียนดอกไม้มีศรี รุ่งเรืองรูจึสว่างชัชวาล
ครั้นแล้วนั่งเรียงเคียงกันในสถาน กับด้วยบริวารลำดับน้ันมา ฯ  ฉัน* ฯ

                    ( ฉบับเดิมว่า วัสสันตติดิลกฉันท์)

*ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน 

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กาพย์พระมาลัย (๑๒)


กาพย์ยานี ๑๑

๐ เทพหนึ่งดูดาษดา           ยาตรามาอยู่ครึกครื้น
มีนางสวรรค์ได้เจ็ดหมื่น      สพรึบพร้อมล้อมกันมา ฯ
๐ พระเถรทอดตาเห็น         จึงถามท้าวอัมรินทรา
มาโน้นดูโสภา                     พระไมตรีหรือฉันใด ฯ
๐ พระศรีอารย์ท่านมาหรือ  เสียงบันลือพิลึกใจ
อินทราจึงขานไข                ว่ามิใช่พระศรีอารย์ ฯ
๐ พระเถรถามว่าใคร           งามโสภาชัชวาล
เมื่อก่อนสร้างสมภาร           ทำบุญใดในโลกา ฯ
๐ โกสีย์เธอจึงไข                พระมาลัยกล่าวปุจฉา
อานิสงส์ของเทพา              สั่งสมมาแต่เมืองคน ฯ
๐ เทพน้ันเมื่อชาติก่อน        เป็นเณรน้อยใจกุศล
มิประมาทมิลืมตน               มิได้เคียดแก่อาจารย์ ฯ
๐ ทำนุบำรุงชม                   ไหว้พระนมรับคำขาน
ทรงศีลสิบประการ              ก้มกราบนบซบเศียรลง ฯ
๐ ไหว้พระเป็นนิรันดร์         เขียนเรียนธรรมด้วยบรรจง
ปรนนิบัติแก่พระสงฆ์          เข้าใกล้แล้วและรักษา ฯ
๐ ถวายน้ำเย็นและน้ำร้อน  อยู่นวดฟั้นคั้นบาทา
กลางคืนอยู่รักษา               เมื่อกลางวันอยู่เฝ้าแหน ฯ
๐ เมื่อพระครูผู้ใหญ่            เสด็จไปไหว้พระแทน
ประทีปตามโคมแขวน        กวาดปัดแผ้วให้ผ่องใส ฯ
๐ อุปถัมภ์แล้วค้ำชู             มิให้ครูได้ยากใจ
ทรงศีลครองวินัย                ศีลสิบไซร้มิให้หมอง ฯ
๐ ด้วยเดชะบุญดั่งนี้            จึ่งได้มีวิมานทอง
มีชาวแม่ล้อมเนืองนอง       เพราะบุญตนรักษาครู ฯ
๐ สาวสวรรค์เจ็ดหมื่นล้อม   มาแห่ห้อมล้อมพรั่งพรู
บุญตนรักษาครู                   ได้นางฟ้าหน้านวลศรี ฯ
๐ เทพน้ันเสด็จมา                ถวายวันทาพระเจดีย์
ด้วยชาวแม่แลสาวศรี          ทั้งเจ็ดหมื่นล้วนสาวสวรรค์ ฯ
๐ ทักษิณทั้งแปดทิศ           แล้วสถิตลงพร้อมกัน
ในสถานอันก่อนนั้น             อันเคยนั้งแต่ก่อนมา ฯ  ราบ ฯ

กาพย์ร่ายไม้ ๓๒

๐ ยังมีเทพหนึ่ง          บริวารเครงครื้น
สาวสวรรค์แปดหมื่น  ห้อมล้อมกันมา
มือถือดอกไม้             ธูปเทียนชวาลา
คร้ันถึงวันทา              ไหว้พระเจดีย์ ฯ

๐ พระเถรเล็งเห็น      ถามท้าวโกสีย์
โน้นพระไมตรี            มาโน่นหรือใคร
อินทราจึ่งบอก           มานั่นมิใช่
พระเถรว่าใคร            เห็นมากนักหนา ฯ

๐ ทำบุญสิ่งใด          ได้ดั่งนี้นา
เดชะฤทธา                อานุภาพเรืองรอง
มีหมู่นางสวรรค์         ห้อมล้อมเนืองนอง
เมื่อก่อนน้ันครอง       กุศลชื่อใด ฯ

๐ เทพน้ันแต่ก่อน     เป็นคนเข็ญใจ
เห็นภิกษุไป             บิณฑบาตเดินจร
เอาข้าวแห่งตน        มาตักบาตรก่อน
ร้องด้วยเสียงอ่อน    ป่าวร้องท่านไป ฯ

๐ แม้เจ้าเรือนอยู่     มิรู้มิใส่
ชายนั้นบอกไป       ให้รู้ข่าวขจร
ดูราชาวเรา              มาใส่บาตรก่อน
พระสงฆ์เดินจร        แทบตรอกเรือนเรา ฯ

๐ มากน้อยตามได้   ใส่บาตรเถิดเจ้า
ตามศรัทธาเรา         พ่อแม่ทั้งหลาย
ชาวบ้านได้ยิน          คำกะทาชาย
ยินดีมากมาย            เอาข้าวไปใส่ ฯ

๐ ลางทีชายน้ัน        เอาภาชนะไป
ใส่มาแต่ไกล           ไปด้วยหาบหาม
ชักชวนสัปบุรุษ        ใส่บาตรด้วยงาม
ค่อยบอกค่อยถาม    ค่อยเล้าโลมเอา ฯ

๐ เพื่อให้เป็นบุญ      เป็นคุณแก่เขา
กับตัวของเรา            บรรลุนิพพาน
เพราะบุญดั่งนี้           จึงได้วิมาน
นางสวรรค์สะคราญ   แปดหมื่นล้อมมา ฯ

๐ เทพนั้นเสด็จใน     ท่ามกลางนางฟ้า
คร้ันถึงวันทา            ไหว้พระเจดีย์
ไหว้ทั้งแปดทิศ         ยกกรชุลี
แล้วนั่งตามที่             ลำดับกันไป ฯ