กาพย์ร่ายไม้ ๓๒
๐เมื่อน้ันพระศรี อาริยะไมตรี
จึงบอกคดึ แ่ก่พระมาลัย
ข้าพระจะบอก ขอพระจำไป
บอกให้เข้าใจ อย่าได้ปรารมภ์ ฯ
๐ เมื่อใดศาสนา พระสมณโคดม
จะเศร้าจะโทรม ถอยน้อยเรียวไป
ฝูงคนทั้งหลาย ทำบาปเหลือใจ
จะทำบุญไซร้ น้อยนักน้อยหนา ฯ
๐ ขึ้คร้านให้ทาน จำศีลภาวนา
ขี้คร้านรักษา คุณแก้วทั้งสาม
ชวนกันทำบาป ยุ่งหยาบเหลือหลาม
มิกลัวมิขาม ทำบาปบ่มิอาย ฯ
๐ แม่บังเกิดเกล้า เข่้าเคล้ากอดก่าย
มิกลัวมิอาย เสพด้วยแม่ตน
แม่ป้าน้าอา เป็นโกลาหล
เสพด้วยกามกล เป็นคนโฉงเฉง ฯ
๐ เสพด้วยนางชี บ่มิกลัวมิเกรง
รุกรานครื้นเครง สมเสพกามา
พี่สาวตนเอง เสมือนหนึ่งมารดา
สมเสพกามา บ่่มิอดสู ฯ
๐ หญิงชายทั้งหลาย บ่มิได้คิดดู
เลี้ยงเป็นลูกอยู่ สร้องเสพบ่มิอาย
ฝ่าแดนรุกแดน ดุจหมุหมาทราย
บ่มิรู้ความอาย ดุจสัตว์เดรัจฉาน ฯ
๐ อยู่ด้วยลูกสาว ทำฉาวบ่มินาน
มัวเมาสงสาร ด้วยแม่เมียเอง
ลางชายใจร้าย อาธรรม์บ่มิเกรง
พี่เลี้ยงตนเอง ก็เสพสมาคม ฯ
๐เสพด้วยพี่เลี้ยง เสพด้วยแม่นม
สมเสพสมาคม ด้วยพี่สะใภ้เอง
ทั้งหญิงทั้งชาย เมามายโฉงเฉง
บาปดั่งนี้เอง จึงมิได้อดสู ฯ
๐ ลูกสาวตนเอง บ่มิได้เอ็นดุ
ทำดุจหมาหมู แพะทรายเดรัจฉาน
ครั้นเป็นดั่งนี้ ผู้โลกสงสาร
อายุบ่มินาน พลันสิ้นชีพชนม์ ฯ
๐ ครั้นตายไปตก นรกสารวลู
เจ็บปวดเหลือทน เพราะตนอาธรรม์
อยู่ในนรก อยู่ได้ถึงกัปป์
เพราะใจโมหันต์ เสพด้วยมารดา ฯ
๐ ลางหญิงขอชาย เลี้ยงเป็นบุตรา
คร้ันเมื่อนานมา เอาลูกเป็นผัว
ลางชายขอหญิง เลี้ยงเป็นลูกตัว
ครั้นแล้วเมามัว ส้องเสพกามกล ฯ
๐ ทั้งว่าหญิงชาย คร้ันตายสิ้นชนม์
เพราะบาปแห่งตน มัวเมาตัณหา
ทั้งว่าฝุูงคน ทุรพลนักหนา
เพราะบาปตนกล้า ใจร้ายอกุศล ฯ
๐บ่่มิได้เคารพ ว่าพ่อแม่ตน
สร้องเสพกามกล สารวลไปมา
บาปนั้นมากนัก อัปลักษณ์นักหนา
อายุจึงคลา จากร้อยปีลง ฯ
๐ แปลธรรมดังนี้ นักปราชญ์ผู้ทรง
แต่งตามพุทธองค์ พระเจ้าเทศนา
ในพระคัมภีร์ ทีปนีฎีกา
ไขอรรถออกมา ชื่อฎีกาอภิธรรม ฯ
๐ ผูู้ใดบ่มิเชื่อ บ่มิเกรงมิยำ
อกุศลจะนำ ไปสู่อบาย
ผู้โดเชื่อบาป บาปนั้นจึงหาย
เดชะขวนขวาย ทำอนาปาณ ฯ
๐ ตัดบาปจงขาด อย่าคบคนพาล
จำเริญกัมมัฎฐาน พรหมวิหารพุทธคุณ
จำเริญเป็นนิตย์ ทำกิจเพิ่มพูน
หายบาปเพราะบุญ กิจสิบหกอัน ฯ
๐ อายุจึงถอย น้อยไปทุกวัน
จะนับถึงกัลป์ สิบปีพลันตาย
เด็กเล็กสี่เดือน ทั้งหญิงทั้งชาย
ต่างกันขวนขวาย มีเมียมีผัว ฯ
๐ หญิงเล็กสี่เดือน แต่งแง่เตรียมตัว
ชายสี่เดือนมัว มีเมียทันใจ
ครั้นถึงห้าเดือน เกิดลูกสืบไป
ลูกนั้นคร้ันใหญ่ สี่เดือนเลี้ยงกัน ฯ
๐ บาปกรรมดั่งนี้ อายุุจึงพลัน
เร่งสิ้นอาสัญ สิบปีม้วยมรณ์
บาปกรรมดั่งนี้ คนทั้วดินดอน
ใหญ่เท่าลูกอ่อน สี่ปีห้าปี ฯ
๐ ทั้งช้างท้ังม้า วัวควายอันมี
เล็กทั่้วธรณี น้อยนักน้อยหนา
ฝงคนเบาบาง ห่างทั้่วทิศา
ดิรัจฉานนานา มีมากทุกสถาน ฯ
๐ ฝุูงคนทั้งหลาย จึงเกิดใจมาร
ฆ่าฟันรุกราน รบพุ่งแทงกัน
สำคัญว่าเนื้อ ใคร่จะเถือหั่น
กินเนื่อแห่งกัน ชื่อมิคสัญญี ฯ
๐ ฉวยจับได้ไม้ วิ่งไล่ทุบตี
กลับเป็นกุลี หอกดาบทันใด
ไล่แทงฆ่าฟัน ตายกันดาษไป
ฉิบหายบรรลัย ทั่วทั้งธรณี ฯ
๐ ฆ่ากันม้วยมุด สิ้นสุดเป็นผี
สากลปฐพี ซากผีก่ายกอง
ฝูงคนล้มตาย เลือดไหลเนืองนอง
ซากผีพุพอง ทั่วทั้งชมภู ฯ
๐ เลือดไหลหากัน เป็นมันเลื่อมอยู่
ทั่วทัุ้งชมภู ดุจน้ำไหลนอง
อเนจอนาถ ตายดาษกุกอง
น้ำเลือดน้ำหนอง ทั้วทั้งปฐพี ฯ
๐ ผู้ใดไปเร้น ในถ้ำคีรี
คนเดียวหลบลี้ อยู่ซอกหินผา
ผู้นั้นจึ่งรอด จากความมรณา
เพราะอยู่เอกา เอโกตนเดียว ฯ
๐ คร้ันสองสามคน เห็นกันฉับเฉียว
ฆ่ากันบัดเดี๋ยว เอ็งตายกูตาย
ถ้าอยู่ผู้เดียว ไม่เห็นใครกราย
รอดจากความตาย เพราะเร้นลับไป ฯ
๐ คร้ันถ้วนเจ็ดวัน ฆ่ากันแล้วไซร้
ไม่เห็นว่าใคร จะรอดเป็นสอง
ฝูงคนเร้นอยู่ จึ่งคิดตรึกตรอง
ชวนกันปรองดอง ปัญจศีลรักษา ฯ
๐ เดชะจำศีล เมตตาภาวนา
เมฆตั้งขึ้นมา ฝนตกเจ็ดราตรี ฯ
๐ ซากผีลอยไป ตกในนที
ทั้วท้องธรณี บริสุุทธิ์สดใส ฯ
๐ แต่นั้นฝูงคน ตำรงจิตใจ
จำเริญขึ้นไป จำศีลให้ทาน
บ้างภาวนา เมตตาพรหมวิหาร
ชืืนชมใจบาน เจียรกาลสืบไป ฯ
๐ ห่าฝนมธุรส ตกเจ็ดวันไป
เป็นอาหารให้ มนุษย์เนืองนอง
ห่าฝนแก้วแหวน ทั้งเงินทั้งทอง
ตกลงเนื่องนอง ถ้วนทั้งเจ็ดวัน ฯ
๐ ห่าฝนของหอม ตกลงด้วยพลัน
รำงับกลิ่นอัน เหม็นสาวให้สูญ
ห่าฝนชะมด กฤษณาจันทร์จุณ
ตกลงบริบูรณ์ หอมฟู้งอนันต์ ฯ
๐ ห่าฝนข้าวสาร ตกมาครามครัน
ถ้วนทั้งเจ็ดวัน เต็มทั่วสากล
ห่าฝนอาหาร ให้ประชาชน
ได้เลี้ยงชีพตน สืบอายุไป ฯ
๐ ห่าฝนข้าวเปลือก เม็ดน้อยเม็ดใหญ่
ตกเจ็ดวันไป เกลื่อนทั่้วธรณี
จะให้เป็นพืช แก่ชาวโลกีย์
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีทั้วกัน ฯ
๐ ห่าฝนผ้าผ่อน แลแพรมีพรรณ
ตกทั่้วเจ็ดวัน ย่อมงามบวร
เพื่อให้เป็นเครื่อง นุ่งห่มอาภรณ์
ให้เดินเที่ยวจร กันความละอาย ฯ
๐ ห่าฝนภาชนะ น้อยใหญ่มากมาย
ตกลงเหลือหลาย เจ็ดวันบริบูรณ์
เป็นเครื่องใช้สอย แห่งคนทั้งมูล
ให้ครบบริบูรณ์ จะได้ครองกัน ฯ
๐ ห่าฝนสัตรัตน์ แก้วทั้งเจ็ดพรรณ
ตกลงเจ็ดวัน ทั้วทั้งสากล
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีมงคล
ทั้วทั้งสากล ชมภูทีปา ฯ
๐ เดชะให้ทาน จำศีลภาวนา
ฝนตกเจ็ดห่า ถุ้วนทั้งเจ็ดวัน
เดชะพระสูตร วินัยอภิธรรม์ฺ
ฝูงคนทั้งน้ัน ยิ่งยืนขึ้นไป ฯ ฉัน ฯ
ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
๐ ตัดบาปจงขาด อย่าคบคนพาล
จำเริญกัมมัฎฐาน พรหมวิหารพุทธคุณ
จำเริญเป็นนิตย์ ทำกิจเพิ่มพูน
หายบาปเพราะบุญ กิจสิบหกอัน ฯ
๐ อายุจึงถอย น้อยไปทุกวัน
จะนับถึงกัลป์ สิบปีพลันตาย
เด็กเล็กสี่เดือน ทั้งหญิงทั้งชาย
ต่างกันขวนขวาย มีเมียมีผัว ฯ
๐ หญิงเล็กสี่เดือน แต่งแง่เตรียมตัว
ชายสี่เดือนมัว มีเมียทันใจ
ครั้นถึงห้าเดือน เกิดลูกสืบไป
ลูกนั้นคร้ันใหญ่ สี่เดือนเลี้ยงกัน ฯ
๐ บาปกรรมดั่งนี้ อายุุจึงพลัน
เร่งสิ้นอาสัญ สิบปีม้วยมรณ์
บาปกรรมดั่งนี้ คนทั้วดินดอน
ใหญ่เท่าลูกอ่อน สี่ปีห้าปี ฯ
๐ ทั้งช้างท้ังม้า วัวควายอันมี
เล็กทั่้วธรณี น้อยนักน้อยหนา
ฝงคนเบาบาง ห่างทั้่วทิศา
ดิรัจฉานนานา มีมากทุกสถาน ฯ
๐ ฝุูงคนทั้งหลาย จึงเกิดใจมาร
ฆ่าฟันรุกราน รบพุ่งแทงกัน
สำคัญว่าเนื้อ ใคร่จะเถือหั่น
กินเนื่อแห่งกัน ชื่อมิคสัญญี ฯ
๐ ฉวยจับได้ไม้ วิ่งไล่ทุบตี
กลับเป็นกุลี หอกดาบทันใด
ไล่แทงฆ่าฟัน ตายกันดาษไป
ฉิบหายบรรลัย ทั่วทั้งธรณี ฯ
๐ ฆ่ากันม้วยมุด สิ้นสุดเป็นผี
สากลปฐพี ซากผีก่ายกอง
ฝูงคนล้มตาย เลือดไหลเนืองนอง
ซากผีพุพอง ทั่วทั้งชมภู ฯ
๐ เลือดไหลหากัน เป็นมันเลื่อมอยู่
ทั่วทัุ้งชมภู ดุจน้ำไหลนอง
อเนจอนาถ ตายดาษกุกอง
น้ำเลือดน้ำหนอง ทั้วทั้งปฐพี ฯ
๐ ผู้ใดไปเร้น ในถ้ำคีรี
คนเดียวหลบลี้ อยู่ซอกหินผา
ผู้นั้นจึ่งรอด จากความมรณา
เพราะอยู่เอกา เอโกตนเดียว ฯ
๐ คร้ันสองสามคน เห็นกันฉับเฉียว
ฆ่ากันบัดเดี๋ยว เอ็งตายกูตาย
ถ้าอยู่ผู้เดียว ไม่เห็นใครกราย
รอดจากความตาย เพราะเร้นลับไป ฯ
๐ คร้ันถ้วนเจ็ดวัน ฆ่ากันแล้วไซร้
ไม่เห็นว่าใคร จะรอดเป็นสอง
ฝูงคนเร้นอยู่ จึ่งคิดตรึกตรอง
ชวนกันปรองดอง ปัญจศีลรักษา ฯ
๐ เดชะจำศีล เมตตาภาวนา
เมฆตั้งขึ้นมา ฝนตกเจ็ดราตรี ฯ
๐ ซากผีลอยไป ตกในนที
ทั้วท้องธรณี บริสุุทธิ์สดใส ฯ
๐ แต่นั้นฝูงคน ตำรงจิตใจ
จำเริญขึ้นไป จำศีลให้ทาน
บ้างภาวนา เมตตาพรหมวิหาร
ชืืนชมใจบาน เจียรกาลสืบไป ฯ
๐ ห่าฝนมธุรส ตกเจ็ดวันไป
เป็นอาหารให้ มนุษย์เนืองนอง
ห่าฝนแก้วแหวน ทั้งเงินทั้งทอง
ตกลงเนื่องนอง ถ้วนทั้งเจ็ดวัน ฯ
๐ ห่าฝนของหอม ตกลงด้วยพลัน
รำงับกลิ่นอัน เหม็นสาวให้สูญ
ห่าฝนชะมด กฤษณาจันทร์จุณ
ตกลงบริบูรณ์ หอมฟู้งอนันต์ ฯ
๐ ห่าฝนข้าวสาร ตกมาครามครัน
ถ้วนทั้งเจ็ดวัน เต็มทั่วสากล
ห่าฝนอาหาร ให้ประชาชน
ได้เลี้ยงชีพตน สืบอายุไป ฯ
๐ ห่าฝนข้าวเปลือก เม็ดน้อยเม็ดใหญ่
ตกเจ็ดวันไป เกลื่อนทั่้วธรณี
จะให้เป็นพืช แก่ชาวโลกีย์
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีทั้วกัน ฯ
๐ ห่าฝนผ้าผ่อน แลแพรมีพรรณ
ตกทั่้วเจ็ดวัน ย่อมงามบวร
เพื่อให้เป็นเครื่อง นุ่งห่มอาภรณ์
ให้เดินเที่ยวจร กันความละอาย ฯ
๐ ห่าฝนภาชนะ น้อยใหญ่มากมาย
ตกลงเหลือหลาย เจ็ดวันบริบูรณ์
เป็นเครื่องใช้สอย แห่งคนทั้งมูล
ให้ครบบริบูรณ์ จะได้ครองกัน ฯ
๐ ห่าฝนสัตรัตน์ แก้วทั้งเจ็ดพรรณ
ตกลงเจ็ดวัน ทั้วทั้งสากล
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีมงคล
ทั้วทั้งสากล ชมภูทีปา ฯ
๐ เดชะให้ทาน จำศีลภาวนา
ฝนตกเจ็ดห่า ถุ้วนทั้งเจ็ดวัน
เดชะพระสูตร วินัยอภิธรรม์ฺ
ฝูงคนทั้งน้ัน ยิ่งยืนขึ้นไป ฯ ฉัน ฯ
ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น