วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์) ตอนที่ ๑๒
กาพย์ยานี ๑๑
๐ เดชะอยู่ในธรรม์ ลูกหลานนั้นยิ่งยินดี
ร้อยละร้อยขึ้นละปี ถึงยี่สิบก็เต็มใจฯ
๐ ปู่ย่ายี่สิบปี จำเริญศรีเป็นสุขใส
สามสี่สิบยิ่งขึ้นไป เจริญกุศลเป็นอารมณ์ ฯ
๐ ลูกหลานสามสิบปี ยืนอยุ่ดีเร่งสร้างสม
ยืนสื่สิบก็ชื่นชม เร่งจำเริญภาวนา ฯ
๐ ตายายสี่สิบปี จำเริญศรีสุขโสภา
ยืนห้าสิบพระวัสสา เร่งทำบุญยิ่งขึ้นไป ฯ
๐ ลูกหลานห้าสิบปี มีสวัสดีสุขเปรมใจ
ยิ่งยืนกว่านันไป ยิ่งจำเริญภาวนา ฯ
๐ ปู่ย่าหกสิบปี ส่วนหลานมียั่งยืนกว่า
เจ็ดสิบพระวัสสา ด้วยเดชะน้ำใจดี ฯ
๐ ตายายยืนเจ็ดสิบ ส่วนหลานได้แปดสิบปี
ยืนได้เพราะใจดี สร้างกุศลแลภาวนา ฯ
๐ ปู่ย่าแปดสิบปี ส่วนหลานนี้ยืนยิ่งกว่า
เก้าสิบพระวัสสา เพราะเมตตาแผ่ไมตรี ฯ
๐ ปู่ย่ายืนเก้าสิบ ส่วนหลานยืนได้ร้อยปี
ด้วยเดชะพระบารมี แห่งเมตตากรุณา ฯ
๐ ยั่งยืนยืนขึ้นไป ยืนสองร้อยพระวัสสา
เดชะผลภาวนา พรหมวิหารถ้วนทั้งสี่ ฯ
๐ สามร้อยสี่ร้อยปี ห้าร้อยปีหกร้อยปี
เจ็ดร้อยแปดร้อยปี เก้าร้อยปี่จนถึงพัน ฯ
๐สองพันสามสี่พัน ยืนขึ้นไปถึงห้าพัน
หกพันเจ็ดแปดพัน ถึงเก้าพันยืนอยู่นาน ฯ
๐ ถึงหมื่นเร่งชื่นบาน ยืนอยู่นานเป็นสุขใส
ถึงแสนถึงล้านโกฎิ์ ยิ่งนั้นโสดยืนขึ้นไป ฯ
๐ ฝูงคนทั้งหลายไซร้ มิรู้้ถึงซึ่งมรณา
จะนับให้รู้แม่น ร้อยแห่งแสนโกฎิอัตรา ฯ
๐ ฝูงคนในโลกา ยืนเท่าถึงอสงไขย
เกิดสนุกลืมทุกข์ภัย ไม่รู้่จักพระอนิจจา ฯ ฉัน ฯ
ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์) ตอนที่ ๑๑
กาพย์ร่ายไม้ ๓๒
๐เมื่อน้ันพระศรี อาริยะไมตรี
จึงบอกคดึ แ่ก่พระมาลัย
ข้าพระจะบอก ขอพระจำไป
บอกให้เข้าใจ อย่าได้ปรารมภ์ ฯ
๐ เมื่อใดศาสนา พระสมณโคดม
จะเศร้าจะโทรม ถอยน้อยเรียวไป
ฝูงคนทั้งหลาย ทำบาปเหลือใจ
จะทำบุญไซร้ น้อยนักน้อยหนา ฯ
๐ ขึ้คร้านให้ทาน จำศีลภาวนา
ขี้คร้านรักษา คุณแก้วทั้งสาม
ชวนกันทำบาป ยุ่งหยาบเหลือหลาม
มิกลัวมิขาม ทำบาปบ่มิอาย ฯ
๐ แม่บังเกิดเกล้า เข่้าเคล้ากอดก่าย
มิกลัวมิอาย เสพด้วยแม่ตน
แม่ป้าน้าอา เป็นโกลาหล
เสพด้วยกามกล เป็นคนโฉงเฉง ฯ
๐ เสพด้วยนางชี บ่มิกลัวมิเกรง
รุกรานครื้นเครง สมเสพกามา
พี่สาวตนเอง เสมือนหนึ่งมารดา
สมเสพกามา บ่่มิอดสู ฯ
๐ หญิงชายทั้งหลาย บ่มิได้คิดดู
เลี้ยงเป็นลูกอยู่ สร้องเสพบ่มิอาย
ฝ่าแดนรุกแดน ดุจหมุหมาทราย
บ่มิรู้ความอาย ดุจสัตว์เดรัจฉาน ฯ
๐ อยู่ด้วยลูกสาว ทำฉาวบ่มินาน
มัวเมาสงสาร ด้วยแม่เมียเอง
ลางชายใจร้าย อาธรรม์บ่มิเกรง
พี่เลี้ยงตนเอง ก็เสพสมาคม ฯ
๐เสพด้วยพี่เลี้ยง เสพด้วยแม่นม
สมเสพสมาคม ด้วยพี่สะใภ้เอง
ทั้งหญิงทั้งชาย เมามายโฉงเฉง
บาปดั่งนี้เอง จึงมิได้อดสู ฯ
๐ ลูกสาวตนเอง บ่มิได้เอ็นดุ
ทำดุจหมาหมู แพะทรายเดรัจฉาน
ครั้นเป็นดั่งนี้ ผู้โลกสงสาร
อายุบ่มินาน พลันสิ้นชีพชนม์ ฯ
๐ ครั้นตายไปตก นรกสารวลู
เจ็บปวดเหลือทน เพราะตนอาธรรม์
อยู่ในนรก อยู่ได้ถึงกัปป์
เพราะใจโมหันต์ เสพด้วยมารดา ฯ
๐ ลางหญิงขอชาย เลี้ยงเป็นบุตรา
คร้ันเมื่อนานมา เอาลูกเป็นผัว
ลางชายขอหญิง เลี้ยงเป็นลูกตัว
ครั้นแล้วเมามัว ส้องเสพกามกล ฯ
๐ ทั้งว่าหญิงชาย คร้ันตายสิ้นชนม์
เพราะบาปแห่งตน มัวเมาตัณหา
ทั้งว่าฝุูงคน ทุรพลนักหนา
เพราะบาปตนกล้า ใจร้ายอกุศล ฯ
๐บ่่มิได้เคารพ ว่าพ่อแม่ตน
สร้องเสพกามกล สารวลไปมา
บาปนั้นมากนัก อัปลักษณ์นักหนา
อายุจึงคลา จากร้อยปีลง ฯ
๐ แปลธรรมดังนี้ นักปราชญ์ผู้ทรง
แต่งตามพุทธองค์ พระเจ้าเทศนา
ในพระคัมภีร์ ทีปนีฎีกา
ไขอรรถออกมา ชื่อฎีกาอภิธรรม ฯ
๐ ผูู้ใดบ่มิเชื่อ บ่มิเกรงมิยำ
อกุศลจะนำ ไปสู่อบาย
ผู้โดเชื่อบาป บาปนั้นจึงหาย
เดชะขวนขวาย ทำอนาปาณ ฯ
๐ ตัดบาปจงขาด อย่าคบคนพาล
จำเริญกัมมัฎฐาน พรหมวิหารพุทธคุณ
จำเริญเป็นนิตย์ ทำกิจเพิ่มพูน
หายบาปเพราะบุญ กิจสิบหกอัน ฯ
๐ อายุจึงถอย น้อยไปทุกวัน
จะนับถึงกัลป์ สิบปีพลันตาย
เด็กเล็กสี่เดือน ทั้งหญิงทั้งชาย
ต่างกันขวนขวาย มีเมียมีผัว ฯ
๐ หญิงเล็กสี่เดือน แต่งแง่เตรียมตัว
ชายสี่เดือนมัว มีเมียทันใจ
ครั้นถึงห้าเดือน เกิดลูกสืบไป
ลูกนั้นคร้ันใหญ่ สี่เดือนเลี้ยงกัน ฯ
๐ บาปกรรมดั่งนี้ อายุุจึงพลัน
เร่งสิ้นอาสัญ สิบปีม้วยมรณ์
บาปกรรมดั่งนี้ คนทั้วดินดอน
ใหญ่เท่าลูกอ่อน สี่ปีห้าปี ฯ
๐ ทั้งช้างท้ังม้า วัวควายอันมี
เล็กทั่้วธรณี น้อยนักน้อยหนา
ฝงคนเบาบาง ห่างทั้่วทิศา
ดิรัจฉานนานา มีมากทุกสถาน ฯ
๐ ฝุูงคนทั้งหลาย จึงเกิดใจมาร
ฆ่าฟันรุกราน รบพุ่งแทงกัน
สำคัญว่าเนื้อ ใคร่จะเถือหั่น
กินเนื่อแห่งกัน ชื่อมิคสัญญี ฯ
๐ ฉวยจับได้ไม้ วิ่งไล่ทุบตี
กลับเป็นกุลี หอกดาบทันใด
ไล่แทงฆ่าฟัน ตายกันดาษไป
ฉิบหายบรรลัย ทั่วทั้งธรณี ฯ
๐ ฆ่ากันม้วยมุด สิ้นสุดเป็นผี
สากลปฐพี ซากผีก่ายกอง
ฝูงคนล้มตาย เลือดไหลเนืองนอง
ซากผีพุพอง ทั่วทั้งชมภู ฯ
๐ เลือดไหลหากัน เป็นมันเลื่อมอยู่
ทั่วทัุ้งชมภู ดุจน้ำไหลนอง
อเนจอนาถ ตายดาษกุกอง
น้ำเลือดน้ำหนอง ทั้วทั้งปฐพี ฯ
๐ ผู้ใดไปเร้น ในถ้ำคีรี
คนเดียวหลบลี้ อยู่ซอกหินผา
ผู้นั้นจึ่งรอด จากความมรณา
เพราะอยู่เอกา เอโกตนเดียว ฯ
๐ คร้ันสองสามคน เห็นกันฉับเฉียว
ฆ่ากันบัดเดี๋ยว เอ็งตายกูตาย
ถ้าอยู่ผู้เดียว ไม่เห็นใครกราย
รอดจากความตาย เพราะเร้นลับไป ฯ
๐ คร้ันถ้วนเจ็ดวัน ฆ่ากันแล้วไซร้
ไม่เห็นว่าใคร จะรอดเป็นสอง
ฝูงคนเร้นอยู่ จึ่งคิดตรึกตรอง
ชวนกันปรองดอง ปัญจศีลรักษา ฯ
๐ เดชะจำศีล เมตตาภาวนา
เมฆตั้งขึ้นมา ฝนตกเจ็ดราตรี ฯ
๐ ซากผีลอยไป ตกในนที
ทั้วท้องธรณี บริสุุทธิ์สดใส ฯ
๐ แต่นั้นฝูงคน ตำรงจิตใจ
จำเริญขึ้นไป จำศีลให้ทาน
บ้างภาวนา เมตตาพรหมวิหาร
ชืืนชมใจบาน เจียรกาลสืบไป ฯ
๐ ห่าฝนมธุรส ตกเจ็ดวันไป
เป็นอาหารให้ มนุษย์เนืองนอง
ห่าฝนแก้วแหวน ทั้งเงินทั้งทอง
ตกลงเนื่องนอง ถ้วนทั้งเจ็ดวัน ฯ
๐ ห่าฝนของหอม ตกลงด้วยพลัน
รำงับกลิ่นอัน เหม็นสาวให้สูญ
ห่าฝนชะมด กฤษณาจันทร์จุณ
ตกลงบริบูรณ์ หอมฟู้งอนันต์ ฯ
๐ ห่าฝนข้าวสาร ตกมาครามครัน
ถ้วนทั้งเจ็ดวัน เต็มทั่วสากล
ห่าฝนอาหาร ให้ประชาชน
ได้เลี้ยงชีพตน สืบอายุไป ฯ
๐ ห่าฝนข้าวเปลือก เม็ดน้อยเม็ดใหญ่
ตกเจ็ดวันไป เกลื่อนทั่้วธรณี
จะให้เป็นพืช แก่ชาวโลกีย์
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีทั้วกัน ฯ
๐ ห่าฝนผ้าผ่อน แลแพรมีพรรณ
ตกทั่้วเจ็ดวัน ย่อมงามบวร
เพื่อให้เป็นเครื่อง นุ่งห่มอาภรณ์
ให้เดินเที่ยวจร กันความละอาย ฯ
๐ ห่าฝนภาชนะ น้อยใหญ่มากมาย
ตกลงเหลือหลาย เจ็ดวันบริบูรณ์
เป็นเครื่องใช้สอย แห่งคนทั้งมูล
ให้ครบบริบูรณ์ จะได้ครองกัน ฯ
๐ ห่าฝนสัตรัตน์ แก้วทั้งเจ็ดพรรณ
ตกลงเจ็ดวัน ทั้วทั้งสากล
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีมงคล
ทั้วทั้งสากล ชมภูทีปา ฯ
๐ เดชะให้ทาน จำศีลภาวนา
ฝนตกเจ็ดห่า ถุ้วนทั้งเจ็ดวัน
เดชะพระสูตร วินัยอภิธรรม์ฺ
ฝูงคนทั้งน้ัน ยิ่งยืนขึ้นไป ฯ ฉัน ฯ
ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
๐ ตัดบาปจงขาด อย่าคบคนพาล
จำเริญกัมมัฎฐาน พรหมวิหารพุทธคุณ
จำเริญเป็นนิตย์ ทำกิจเพิ่มพูน
หายบาปเพราะบุญ กิจสิบหกอัน ฯ
๐ อายุจึงถอย น้อยไปทุกวัน
จะนับถึงกัลป์ สิบปีพลันตาย
เด็กเล็กสี่เดือน ทั้งหญิงทั้งชาย
ต่างกันขวนขวาย มีเมียมีผัว ฯ
๐ หญิงเล็กสี่เดือน แต่งแง่เตรียมตัว
ชายสี่เดือนมัว มีเมียทันใจ
ครั้นถึงห้าเดือน เกิดลูกสืบไป
ลูกนั้นคร้ันใหญ่ สี่เดือนเลี้ยงกัน ฯ
๐ บาปกรรมดั่งนี้ อายุุจึงพลัน
เร่งสิ้นอาสัญ สิบปีม้วยมรณ์
บาปกรรมดั่งนี้ คนทั้วดินดอน
ใหญ่เท่าลูกอ่อน สี่ปีห้าปี ฯ
๐ ทั้งช้างท้ังม้า วัวควายอันมี
เล็กทั่้วธรณี น้อยนักน้อยหนา
ฝงคนเบาบาง ห่างทั้่วทิศา
ดิรัจฉานนานา มีมากทุกสถาน ฯ
๐ ฝุูงคนทั้งหลาย จึงเกิดใจมาร
ฆ่าฟันรุกราน รบพุ่งแทงกัน
สำคัญว่าเนื้อ ใคร่จะเถือหั่น
กินเนื่อแห่งกัน ชื่อมิคสัญญี ฯ
๐ ฉวยจับได้ไม้ วิ่งไล่ทุบตี
กลับเป็นกุลี หอกดาบทันใด
ไล่แทงฆ่าฟัน ตายกันดาษไป
ฉิบหายบรรลัย ทั่วทั้งธรณี ฯ
๐ ฆ่ากันม้วยมุด สิ้นสุดเป็นผี
สากลปฐพี ซากผีก่ายกอง
ฝูงคนล้มตาย เลือดไหลเนืองนอง
ซากผีพุพอง ทั่วทั้งชมภู ฯ
๐ เลือดไหลหากัน เป็นมันเลื่อมอยู่
ทั่วทัุ้งชมภู ดุจน้ำไหลนอง
อเนจอนาถ ตายดาษกุกอง
น้ำเลือดน้ำหนอง ทั้วทั้งปฐพี ฯ
๐ ผู้ใดไปเร้น ในถ้ำคีรี
คนเดียวหลบลี้ อยู่ซอกหินผา
ผู้นั้นจึ่งรอด จากความมรณา
เพราะอยู่เอกา เอโกตนเดียว ฯ
๐ คร้ันสองสามคน เห็นกันฉับเฉียว
ฆ่ากันบัดเดี๋ยว เอ็งตายกูตาย
ถ้าอยู่ผู้เดียว ไม่เห็นใครกราย
รอดจากความตาย เพราะเร้นลับไป ฯ
๐ คร้ันถ้วนเจ็ดวัน ฆ่ากันแล้วไซร้
ไม่เห็นว่าใคร จะรอดเป็นสอง
ฝูงคนเร้นอยู่ จึ่งคิดตรึกตรอง
ชวนกันปรองดอง ปัญจศีลรักษา ฯ
๐ เดชะจำศีล เมตตาภาวนา
เมฆตั้งขึ้นมา ฝนตกเจ็ดราตรี ฯ
๐ ซากผีลอยไป ตกในนที
ทั้วท้องธรณี บริสุุทธิ์สดใส ฯ
๐ แต่นั้นฝูงคน ตำรงจิตใจ
จำเริญขึ้นไป จำศีลให้ทาน
บ้างภาวนา เมตตาพรหมวิหาร
ชืืนชมใจบาน เจียรกาลสืบไป ฯ
๐ ห่าฝนมธุรส ตกเจ็ดวันไป
เป็นอาหารให้ มนุษย์เนืองนอง
ห่าฝนแก้วแหวน ทั้งเงินทั้งทอง
ตกลงเนื่องนอง ถ้วนทั้งเจ็ดวัน ฯ
๐ ห่าฝนของหอม ตกลงด้วยพลัน
รำงับกลิ่นอัน เหม็นสาวให้สูญ
ห่าฝนชะมด กฤษณาจันทร์จุณ
ตกลงบริบูรณ์ หอมฟู้งอนันต์ ฯ
๐ ห่าฝนข้าวสาร ตกมาครามครัน
ถ้วนทั้งเจ็ดวัน เต็มทั่วสากล
ห่าฝนอาหาร ให้ประชาชน
ได้เลี้ยงชีพตน สืบอายุไป ฯ
๐ ห่าฝนข้าวเปลือก เม็ดน้อยเม็ดใหญ่
ตกเจ็ดวันไป เกลื่อนทั่้วธรณี
จะให้เป็นพืช แก่ชาวโลกีย์
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีทั้วกัน ฯ
๐ ห่าฝนผ้าผ่อน แลแพรมีพรรณ
ตกทั่้วเจ็ดวัน ย่อมงามบวร
เพื่อให้เป็นเครื่อง นุ่งห่มอาภรณ์
ให้เดินเที่ยวจร กันความละอาย ฯ
๐ ห่าฝนภาชนะ น้อยใหญ่มากมาย
ตกลงเหลือหลาย เจ็ดวันบริบูรณ์
เป็นเครื่องใช้สอย แห่งคนทั้งมูล
ให้ครบบริบูรณ์ จะได้ครองกัน ฯ
๐ ห่าฝนสัตรัตน์ แก้วทั้งเจ็ดพรรณ
ตกลงเจ็ดวัน ทั้วทั้งสากล
เพื่อให้เป็นศรี สวัสดีมงคล
ทั้วทั้งสากล ชมภูทีปา ฯ
๐ เดชะให้ทาน จำศีลภาวนา
ฝนตกเจ็ดห่า ถุ้วนทั้งเจ็ดวัน
เดชะพระสูตร วินัยอภิธรรม์ฺ
ฝูงคนทั้งน้ัน ยิ่งยืนขึ้นไป ฯ ฉัน ฯ
ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
กาพย์พระมาลัย(ภาคพระศรีอารย์) ตอนที่ ๑๐
กาพย์ยานี ๑๑
๐ เมื่อนั้นพระศรีอารย์ ฟังอาการก็เต็มใจ
ตรัสว่าพระมาลัย ผู้เป็นเจ้ากล่าวเพราะดี ฯ
๐ จึงสั่งพระมาลัย ถ้าจะไปในโลกีย์
ท่านจงเอาคดี ดั่งนี้บอกแก่ฝูงชน ฯ
๐ ว่าพระโพธิสัตว์ ผู้จะตรัสเป็นทศพล
ได้ยินว่าฝูงชน ทำกุศลสร้างสมภาร ฯ
๐ ทำแล้วปรารถนา จะขอพบพระศรีอารย์
ได้ยินบ่มินาน พระหฤทัยก็ยินดี ฯ
๐ ท่านตรัสสั่งให้รู้ ว่าผู้ใดในโลกีย์
จะใคร่พบพระไมตรี พระศรีอารย์ผุ้มีคุณ ฯ
๐ ให้หญิงชายทั้งหลาย เร่งขวนขวายกระทำบุญ
ให้จำศีลภาวนาคุณ ให้ฟังธรรมไหว้พระสงฆ์ ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่พบ จะประสบหน่อพุทธองค์
ให้ผู้น้้นเร่งบรรจง ทำบุญแล้วให้แผ่ผล ฯ
๐ อย่าได้ทำร้ายกาจ อย่าประมาทลืมกุศล
อย่าทำเป็นสารวล ให้ผิดพ้องหมองใจกัน ฯ
๐ ผู้ใดใครพบประสบ จะขอพบพระจอมธรรม์
อย่าทำบาปอันฉกรรจ์ ศีลปาณาติปาตร ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่ทัน เมื่อท่านน้ันเป็นศาสดา
อย่าลักทรัพย์ของท่านมา เอามาไว้เป็นของตน ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่พบ ขอประสบหน่อทศพล
อย่าได้ไปปะปน ด้วยเมียท่านแลผัวท่าน ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่ทัน ศาสนาพระศรีอารย์
อย่ากินเหล้าสุราบาน ผู้กินนั้นมิทันนา ฯ
๐ ผู้คนท้ังหลายเอ๋ย อย่าได้กล่าวคำมุสา
ให้จำศีลภาวนา ทรงธุดงค์กัมมัฎฐาน ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่ชม สมเด็จพระศรีอารย์
ตั้งใจให้ชืนบาน ฟังนิทานเวสสันดร ฯ
๐ ผู้ใดใคร่วันทา พระศาสดาองค์ชินวร
ให้ฟังเวสสันดร วันเดียวจบครบทั้งกัณฑ์ ฯ
๐ ฟังบาลีพระเทศนา ฟังคาถาถ้วนทั้งพัน
ข้าวบิณฑ์แลขนมฉัน ทุกสิ่งสรรพ์จงมากมาย ฯ
๐ ฉัตรธงเพดานกั้น รูปภาพน้ันผูกแขวนราย
ประทีบธูปเทียนถวาย ดอกไม้เพลิงเรืองรัศมี ฯ
๐ บัวหลวงดอกบัวขาว ดอกทองกวาวจงกลนี
ดอกอุบลอันมีสี นิลุบลดอกมณฑา ฯ
๐ ดอกไม้ขาวใสสุทธิ์ ดอกสัตบุษแดงรจนา
สิ่งละพันถวายบูชา มหาชาติเวสสันดร ฯ
๐ ฟังแล้วปรนนิบัติ ทำตามอรรถพระสั่งสอน
มหาชาติพระเวสสันดร ถ้วนคาถาพระบาลี ฯ
๐ ผู้ทำดังนี้จบ จึงจะพบท่านด้วยดี
จะพบพระไมตรี เมื่อเป็นพระพันประมาณ ฯ
๐ ถ้าใครปรนนิบัติ เมื่อท่านตรัสสรรเพชญญาณ
อย่าโกรธอย่าจองผลาญ ชีวิตท่านให้ม้วยมรณ์ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่เห็น เมื่อท่านเป็นพระบวร
อย่าทำให้อาทร พระภิกษุุแลภิกษุุณีฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่พบ ใคร่ไหว้นบพระไมตรี
พระสงฆ์แลนางชี อย่ายุยงให้ผิดกัน ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่เห็น เมื่อท่่านเป็นพระทรงธรรม์
พระพุุทธรูปท่านสร้างนั้น อย่าได้มล้างอย่าทำลาย ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่่พบ พระไมตรีผู้ฤาสาย
อย่าตัดต้นอย่าทอนปลาย อย่าตัดไม้ต้นโพธิ์ศรี ฯ
๐ ผู้ใดจะปรารถนา ทันศาสนาพระไมตรี
อย่าฆ่าอย่าด่าตี พระโพธิสัตว์หน่อพุทธองค์ ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่เห็น พระไมตรีผู้ยอดยง
ชื่อว่าทรัพย์ของสงฆ์ อย่าเบียนเอาให้สารวล ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่ทัน พระไมตรีเจ้าจมพล
ชื่อว่า่พ่อแลแม่ตน อย่าทำร้ายอย่าด่าตี ฯ
๐ ผ้ใดจะใคร่เฝ้า พระเป็นเจ่้าชื่อไมตรี
อย่ามีใจตระหนี่ อย่าประมาทลืมกุศลฯ
๐ ผู้ใดแลร้ายกาจ จิตประมาทอยู่ลืมตน
ผู้่้นั้นจะทุกข์ทน มิพบท่านเมื่อเสด็จมา ฯ
๐ พระเถรรับโองการ พระศรีอารย์มิทันช้า
ให้บอกแก่ชาวโลกา ทั้วทั้งโลกชาวขมภู ฯ
๐ เมื่อพระโพธิสัตว์ ท่านจะตรัสสั่งให้รู้
เราจะบอกชาวชมภู ให้เขาตื่นขึ้นชมเชย ฯ
๐ เออพ่อคำโยมสั่ง พระเถรฟังอย่าลืมเลย
มาลัยเจ้าหัวเอ๋ย ขอพระเจ้าจงนักหนา ฯ
๐ อันใดคำโยมสั่ง ขอพระเถรจงกรุณา
บอกแก่ขาวโลกา ให้รู้ทั่วทั้งแดนไตร ฯ
๐ รูปจะขอกไม่พลั้่งพลาด มหาราชอย่าร้อนใจ
บอกว่าพระเมตไตรย ท่านตรัสสั่งแก่เรามา ฯ
๐ เมื่อนั้นชาวชมภู ชื่นชมอยู่ใจหรรษา
ต่างคนจะวันทา จะพูลเพิ่มเติมบุญไป ฯ
๐ อนึ่งโสตนะบพิตร ชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายใด
จะใคร่พบพระจอมไตร เขาจะไหว้จะถามเรา ฯ
๐ ว่าบพิตรพระศรีอารย์ ผู้ทรงญาณพระผ่านเกล้า
ท่านเสด็จมาโปรดเรา ในเมื่อกาลขณะใด ฯ
๐ คร้ันว่ารูปจะบอก คิดมิออกจะสงสัย
พระจะไปขณะใด บิมิแจ้งแก่ใจเรา ฯ
๐ ขอบพิตรจงบอกแท้ เราจะแก้จะบอกเขา
ให้รู้แจ้งแห่งลำเนา เมื่อท่านได้สัพพัญญู ฯ
๐ พระจะตรัสขณะใด ขอบพิตรได้เอ็นดู
เทศนาให้จงรู้ คดีน้ันแจงแจ้งใจ ฯ
๐ เมื่อเขาจะะถามเรา เราจะบอกจงฉับไว
ตามชอบอัธยาศัย เมื่อท่านได้เป็นพุทธองค์ ฯ ฉัน ฯ
* ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
๐ ฟังแล้วปรนนิบัติ ทำตามอรรถพระสั่งสอน
มหาชาติพระเวสสันดร ถ้วนคาถาพระบาลี ฯ
๐ ผู้ทำดังนี้จบ จึงจะพบท่านด้วยดี
จะพบพระไมตรี เมื่อเป็นพระพันประมาณ ฯ
๐ ถ้าใครปรนนิบัติ เมื่อท่านตรัสสรรเพชญญาณ
อย่าโกรธอย่าจองผลาญ ชีวิตท่านให้ม้วยมรณ์ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่เห็น เมื่อท่านเป็นพระบวร
อย่าทำให้อาทร พระภิกษุุแลภิกษุุณีฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่พบ ใคร่ไหว้นบพระไมตรี
พระสงฆ์แลนางชี อย่ายุยงให้ผิดกัน ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่เห็น เมื่อท่่านเป็นพระทรงธรรม์
พระพุุทธรูปท่านสร้างนั้น อย่าได้มล้างอย่าทำลาย ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่่พบ พระไมตรีผู้ฤาสาย
อย่าตัดต้นอย่าทอนปลาย อย่าตัดไม้ต้นโพธิ์ศรี ฯ
๐ ผู้ใดจะปรารถนา ทันศาสนาพระไมตรี
อย่าฆ่าอย่าด่าตี พระโพธิสัตว์หน่อพุทธองค์ ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่เห็น พระไมตรีผู้ยอดยง
ชื่อว่าทรัพย์ของสงฆ์ อย่าเบียนเอาให้สารวล ฯ
๐ ผู้ใดจะใคร่ทัน พระไมตรีเจ้าจมพล
ชื่อว่า่พ่อแลแม่ตน อย่าทำร้ายอย่าด่าตี ฯ
๐ ผ้ใดจะใคร่เฝ้า พระเป็นเจ่้าชื่อไมตรี
อย่ามีใจตระหนี่ อย่าประมาทลืมกุศลฯ
๐ ผู้ใดแลร้ายกาจ จิตประมาทอยู่ลืมตน
ผู้่้นั้นจะทุกข์ทน มิพบท่านเมื่อเสด็จมา ฯ
๐ พระเถรรับโองการ พระศรีอารย์มิทันช้า
ให้บอกแก่ชาวโลกา ทั้วทั้งโลกชาวขมภู ฯ
๐ เมื่อพระโพธิสัตว์ ท่านจะตรัสสั่งให้รู้
เราจะบอกชาวชมภู ให้เขาตื่นขึ้นชมเชย ฯ
๐ เออพ่อคำโยมสั่ง พระเถรฟังอย่าลืมเลย
มาลัยเจ้าหัวเอ๋ย ขอพระเจ้าจงนักหนา ฯ
๐ อันใดคำโยมสั่ง ขอพระเถรจงกรุณา
บอกแก่ขาวโลกา ให้รู้ทั่วทั้งแดนไตร ฯ
๐ รูปจะขอกไม่พลั้่งพลาด มหาราชอย่าร้อนใจ
บอกว่าพระเมตไตรย ท่านตรัสสั่งแก่เรามา ฯ
๐ เมื่อนั้นชาวชมภู ชื่นชมอยู่ใจหรรษา
ต่างคนจะวันทา จะพูลเพิ่มเติมบุญไป ฯ
๐ อนึ่งโสตนะบพิตร ชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายใด
จะใคร่พบพระจอมไตร เขาจะไหว้จะถามเรา ฯ
๐ ว่าบพิตรพระศรีอารย์ ผู้ทรงญาณพระผ่านเกล้า
ท่านเสด็จมาโปรดเรา ในเมื่อกาลขณะใด ฯ
๐ คร้ันว่ารูปจะบอก คิดมิออกจะสงสัย
พระจะไปขณะใด บิมิแจ้งแก่ใจเรา ฯ
๐ ขอบพิตรจงบอกแท้ เราจะแก้จะบอกเขา
ให้รู้แจ้งแห่งลำเนา เมื่อท่านได้สัพพัญญู ฯ
๐ พระจะตรัสขณะใด ขอบพิตรได้เอ็นดู
เทศนาให้จงรู้ คดีน้ันแจงแจ้งใจ ฯ
๐ เมื่อเขาจะะถามเรา เราจะบอกจงฉับไว
ตามชอบอัธยาศัย เมื่อท่านได้เป็นพุทธองค์ ฯ ฉัน ฯ
* ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์) ตอนที่ ๙
กาพย์ร่ายไม้ ๓๒
๐ พระโพธิสัตว์ ฟังพระมาลัย
อิ่มเนื้ออิ่มใจ ยินดีปรีดา
จึ่งว่าสาธุ ไพเราะนักหนา
พระเถระพรรณา บอกแจ้งทุกประการ ฯ
๐ ชาวชมภูทวีป จำศีลให้ทาน
จิตใจชื่นบาน ยินดีทุกคน
จะขอพบท่าน เมื่อเป็นทศพล
จะได้มรรคผล อย่าได้คลาดคลา ฯ
๐ เขาทำบุญแล้ว เขากรวดน้ำมา
ขอพบพระศาสดา องค์พระไมตรี
เมื่อท่านได้ตรัส เป็นพระมุนี
ขอบวชเป็นชี ลุถึงอรหันต์ ฯ
๐ เขาตั้งปรารถนา เนื่องนิตย์ทุกวัน
คอยท่าจอมธรรม์ สมเด็จพระศรีอารย์
ท่านพระจะเที่ยว สร้างโพธิสมภาร
ขอเป็นบริวาร เมื่อท่านเสด็จมา ฯ
๐ ชนชาวชมภู เขาย่อมบ่นหา
ขอพบศาสนา ไมตรีจอมธรรม์
เมื่อตรัสเป็นพระ ขอได้พบกัน
ขอเป็นอรหันต์ ทันพระศรีอารย์ ฯ
๐ มนุษย์หญิงชาย ขวนขวายศีลทาน
ต้ังจิตอธิษฐาน ขอทันศาสนา
พระองค์อุบัติ ตรัสเป็นศาสดา
ขอมีปรีชา เป็นพุทธนวไนย ฯ ฉัน ฯ
* คำว่า ฉัน เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
กาพย์พระมาลัย (ภาคพระศรีอารย์) ตอนที่ ๘
กายพ์ยานี ๑๑
๐ เมื่อนั้นพระศรีอารย์ กล่าวขานโวหารถามมาลัย
เมื่อเขาให้ซึ่งอันใด ชื่อว่าทานแลเขาทำ ฯ
๐ เมื่อรักษาศีล ศีลอันใดอันเขาจำ
ชาวชมภูแลเขาทำ สิ่งชื่อใดในโลกา ฯ
๐ พระเถรว่าเห็นเจ้าให้ ข้าวแลน้ำแลวัตถุ
ธูปเทียนชวาลา พวงดอกไม้หอมขจร ฯ
๐ เครื่องทานแลเสื่อสาด เครื่องปูลาดแลฟูกหมอน
เตียงตั่งที่นั่งนอน กุฎิสถานย่อมมากมาย ฯ
๐ เครื่องทานทั้งสิบไซร้ ลางคนให้สิ่งเดียวดาย
ลางคนทำฟูมฟาย ได้ให้ถ้วนทั้งสิบอัน ฯ
๐ ทานทั้งสิบนี้ไซร้ มิได้ให้ทั้งสิบน้ัน
ลางคนหมั่นฟังธรรม์ มักจำศีลสมาทาน ฯ
๐ ลางคนนิมนต์สงฆ์ ให้สวดมนต์เป็นนิจกาล
ลางคนให้ชีวิตทาน ผู้ใดไข้ช่วยรักษา ฯ
๐ ลางคนมักแผ้วกวาด ทั้งอาวาสสร้างวัดวา
สร้างวิหารไว้พุทธา โรงเทศนาแลกุฎี ฯ
๐ ลางคนให้ขุดสระ สร้างรูปพระแลเจดีย์
ปลูกปราสาทไว้พระศรี มีประดับในศาสนา ฯ
๐ บ้างแต่งเครื่องจังหัน ขนมอันรสโอชา
ลางคนชวนกันมา ผู้ใดตายไปช่วยเผา ฯ
๐ ลางคนแต่งยาไว้ ใครป่วยไข้ให้มาเอา
ลางคนรักษาเขา ผู้เป็นพยาธิให้สำราญ ฯ
๐ ลางคนเลี้ยงพ่อแม่ ปู่ย่าแก่ญาติพงศ์ปราณ
หมั่นรักษาพยาบาล แก่พระพุทธพระธรรมสงฆ์ ฯ
๐ บ้างภาวนาพระไตรลักษณ์ เพื่อจะหักน้ำใจลง
ตัดโลภให้ปลดปลง ตามพระเจ้าตรัสเทศนา ฯ
๐ ศีลห้าแลศีลแปด ศีลสิบอันหมั่นรักษา
ถวายข้าวสงฆ์ให้วัตถา จตุปัจจัยให้เป็นทาน ฯ
๐ ลางคนให้เตียงตั่ง ม่านก้ันบังตาดเพดาน
บ้างให้อัฎบริขาร ด้วยศรัทธาอันยิ่งยง ฯ
๐ ให้จีวรผ้าพาดทับ ประคตสรรพแลสบง
บาตรกลดสำหรับสงฆ์ มีดโกนผมผ้ากรองดี ฯ
๐ ลางคนใจกุศล ให้ลูกตนบวชเป็นชี
ลางคนปล่อยทาสี แลทาสาให้เป็นไท ฯ
๐ ลางคนใจตระหนี่ บ่คลี่ทรัพย์ให้แ่กใคร
น้อมแต่จิตอ่อนแต่ใจ โมทนาเป็นอาจิณ ฯ
๐ สารพัดบุญทุกประการ ศีลแลทานเขาทำสิ้น
ชาวชมภูทั่้วแดนดิน เขาทำได้ตามกำลัง ฯ
๐ พระมาลัยเทพเถร บอกให้พระไมตรีฟัง
ต้นปลายแต่ปางหลัง ให้รู้เรื่องชาวชมภู ฯ ราบ ฯ
* คำว่า ราบ เข้าใจว่าบอกการบรรเลงเพลงปี่พาทย์เมื่อสวดจบตอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)